อันตัวผมนั้นเป็นแฟนเครื่องเสียงของ Bose มาตั้งแต่สมัย ม.ปลาย จุดเริ่มต้นน่าจะอยู่ที่เพื่อนผมคนนึงที่มันเล่นเครื่องเสียงตั้งแต่เด็ก มันลากผมไปฟัง Bose ในงานเครื่องเสียงสมัยก่อน ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด มี Bose 901 ตำนานขั้นเทพของ Bose มาตั้งในงานด้วย พอผมโดนคลื่นเสียงจาก Bose ฟาดใส่ด้วยเพลงระดับ Audiophile ของ Lincoln Mayorga & Amanda Mcbroom แผ่น Growing up in Hollywood Town .. หลังจากนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไปกลายเป็นติ่ง Bose เต็มตัวเลยครับ
จุดเด่นของเครื่องเสียงของ Bose ก็คือ ฟังตรงไหนของบ้าน ยังไงก็ไพเราะ อันนีต้องยกความดีให้กับการออกแบบของ ดร. Amar Bose ผู้ก่อตั้ง Bose Corporation ที่สามารถสร้างระบบเสียง Acoustic ที่เมื่อเสียงออกจากลำโพง Bose แล้วจะไปฟังจากตรงไหนของบ้านก็เสียงดี เพราะเสนาะหูเป็นที่สุด ถ้าคุณอยากจะลองทดสอบฟังบ้าง สามารถไปลองฟังได้ที่โชว์รูมของ Bose ที่ Siam Paragon , Paradise หรือที่ไหนก็ได้ครับ พนักงานยินดีให้ทดลองฟัง โดยที่คุณไม่ต้องรู้สึกเขิลแต่อย่างใด
สำหรับหูฟังตัวนี้ ผมสอยมาจากประเทศญี่ปุ่นตอนไป Honeymoon เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นหูฟังที่ออกมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วล่ะครับ ออกมาตั้งนานแล้ว แต่ผมยังไม่ได้ซื้อซะที จนกระทั่งมาเจอมันลดราคาที่ญี่ปุ่นนี่แหละเลยสอยมาเลย ดังนั้นมันก็ไม่ใช่หูฟังใหม่อะไรมาก แต่อยากรีวิวเพราะซื้อมาแล้วนั่นแหละ
ซีรีส์ของหูฟัง Bose มีหลายตัวด้วยกัน ตั้งกะ In Ear , On Ear , Around Ear มีทั้งแบบมีสายและไร้สาย แต่ละแบบก็จะมีตัว Driver และ ส่วนครอบหูที่ต่างกันออกไป จุดที่ต่างกันก็จะเป็นเรื่องของความง่ายในการพกพา กับ คุณภาพเสียงนั่นแหละครับ เพราะยิ่ง Driver ใหญ่ เสียงก็ยิ่งดี แต่พอใหญ่ มันก็พกยากไงครับ อิอิ โดยที่หูฟังของ Bose ของผม เป็น Bose On Ear ครับ ซื้อมาตั้งกะปี 2008 ตอนนี้ยังใช้ได้อยู่เลย เอาไว้ฟังเวลานอนบนเตียงก่อนนอน ส่วนตัวพกพา เป็น Bose In Ear ที่ใส่กระเป๋าทำงานเอาไว้ใช้งานนอกสถานที่เสมอๆ
ที่ซื้อตัวนี้มา ก็เพราะว่า มันเป็น Bluetooth Headset ด้วยนี่แหละครับ เพราะเวลาผมนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์ ผมจะมี Bose Component 5 เป็นลำโพงคอมประจำโต๊ะอยู่แล้ว แต่เนื่องจากข้างห้องผม เป็นชาวญี่ปุ่นหูดีมาก ที่พี่แกจะมาเคาะประตูห้องผมทุกทีเวลาที่ผมเปิดเพลงเสียงดัง มันก็เลยเดือดร้อน ต้องหาหูฟังมาใช้งาน
ซึ่งจริงๆแล้วจะใช้เจ้า Bose On Ear มาก็ได้แหละ แต่มันจะมีโทรศัพท์โทรมาผมตอนทำงานด้วย ถ้าผมเสียบหูฟัง ผมก็จะไม่ได้ยิน เลยมี Requirement ว่า หูฟังตัวที่ผมจะเอามาใช้ประจำโต๊ะคอมจะต้อง
- เป็น Bose .. เพราะเราเป็นติ่ง อิอิ
- เชื่อม Bluetooth กับ 2 อุปกรณ์ได้พร้อมกัน นั่นก็คือ เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ผมเพื่อฟังเพลง และ เชื่อมกับมือถือเพื่อคุยโทรศัพท์และสามารถสลับโหลดไปมาได้อัตโนมัติ
- ต้องใส่สบายมาก เพราะนั่งทำงานกับโต๊ะทั้งวัน ถ้าใส่แล้วเจ็บหูคงไม่ปลื้มเท่าไหร่
สุดท้ายก็ได้ Bose AE2W นี่แหละครับ ที่ตรง Requirement ที่สุด เอาล่ะมาแกะกล่องกันก่อนดีกว่า
เปิดกล่องมาก็จะเจอ หูฟัง Bose AE2W อยู่ในกล่องใสพลาสติกแข็งกันกระแทก แล้วใต้กล่องก็จะมีถุงผ้าสำหรับพกพา ที่ข้างในใส่อุปกรณ์ไว้อีก 2 ชิ้น แล้วก็พวกคู่มือประมาณนี้
แกะออกมาแล้ว ผมค่อนข้างตกใจกับน้ำหนักนะ ส่วนใหญ่หูฟังแบบ Full Size จะค่อนข้างหนักเพราะ Driver แต่ Bose AE2W เบามากๆ ตามสเป๊กก็คือ 149.6 กรัม ตีถัวๆไป 150 กรัมก็แล้วกัน
จุดเด่นของ Bose ที่มีมาทุกรุ่นก็คือ ใส่สบายครับ สำหรับตัวครอบหูฟัง หรือตัวคัพเนี่ย นุ่มยิ่งกว่าตรูดเด็กอีกครับ ผมเคยใช้ Bose On Ear มาก็นุ่มจะแย่แล้ว เจอรุ่น Around Ear เข้าไปถึงกับสะท้าน เพราะนอกจากนุ่มมากๆแล้ว ตัวแชมเบอร์ที่ครอบหูเรายังทำให้เกิดสภาวะป้องกันเสียงรบกวน ทำให้เรามีความสุขกับเพลงได้อย่างเต็มที่ ตัวคัพมีขนาดใหญ่ประมาณ 3.8 นิ้ว รองรับความใหญ่ของหูมนุษย์มากเหมือนกันนะเนี่ย
อีกส่วนนึวก็คือ ส่วนที่คาดหัว ใช้วัสดุที่มีความนุ่มตัวเดียวกับตรงหูฟังครับ ก้านนี้เวลากดวางบนหัวไม่เจ็บถึงแม้จะฟังนานประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็ตาม
ตรงส่วนก้าน สามารถดึงออกมาปรับยึดได้ตามความใหญ่ของหัวเรา วิธีใช้ก็แค่ครอบหัวไป แล้วก็ดึงมันลงมาจนพอดีกับหูเท่านั้นแหละครับ
จุดเด่นของ Bose ตัวนี้น่าจะเป็นตรง Bluetooth Module ที่เสียบอยู่ข้างหู ซึ่งตอนผมเห็นครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อนยังแอบตกใจวา เฮ้ย มันใหญ่ขนาดนี้เลยเรอะ ซึ่งมันก็มีสาเหตุความใหญ่ของมันอยู่นะ ปุ่มควบคุมจะมี ทั้งหมด 4 ปุ่มด้วยกัน โดยจะอยู่ด้านบน 1 ปุ่ม และ ด้านหลัง 3 ปุ่มครับ
ปุ่มด้านหลัง ก็อย่างที่เห็นมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ที่ใช้การดันขึ้นลง กับปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงครับ
อีกปุ่มอยู่ด้านบน เป็นปุ่มที่เอาไว้ทำงานสารพัดประโยชน์ เช่น รับ-วางสาย เล่น-หยุดเพลง เปลี่ยนเพลงได้ คิดซะว่าเหมือนปุ่มบนหูฟังของ iPhone นั่นแหละครับ
ตัว Bluetooth สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง โดยที่การชาร์จใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ผ่านรูชาร์จ Micro USB ใต้หูฟังครับ
แล้วถ้าแบทหมดทำไง อันนี้ไม่ยากครับ เพราะเราสามารถแกะ เจ้า Bluetooth Module ออกมาได้ ด้วยการกดมันลงมาข้างล่าง ซึ่งต้องกดแรงซักหน่อย ค่อยๆทำนะครับ
พอแกะออกมาแล้ว ในถุงผ้าของ Bose เค้าจะมีสายมาให้ 2 สาย เป็นสายชาร์จ Micro USB สำหรับตัว Bluetooth Module อีกเส้นก็คือ สายหูฟังแบบ 3.5 มม ที่ทำร่องมาพอดีกับตัวหูฟังครับ เสียบเข้าไปเลย ก็ทำให้ใช้หูฟังต่อได้ ถึงแม้ Battery จะหมดก็ตาม
ขั้ว 3.5 มม แบบปกติ แต่ร่องเสียบแบบประหลาดๆ เพื่อให้พอดีกับหูฟัง
ซึ่งเวลาที่ตัว Bluetooth Module แบทหมดก็แกะมันออกมาชาร์จแยกได้เลยนะครับ แล้วเราก็ฟังผ่านสายต่อไป ใช้งานต่อเนื่องไม่มีปัญหา
ถุงผ้า ขนาดใหญ่ สามารถใส่หูฟังและอุปกรณ์ในการฟังเพลงอื่นๆได้สบาย ผมทดสอบด้วยการยัด หูฟัง + สายชาร์จ + iPhone6 + PowerBank เข้าไปในถุงมาแล้วครับ ถุงบวมเป่งกำลังดีเลย
สรุปความรู้สึกในการใช้งาน Bose AE2W
- ใส่สบายมากๆ ผมใส่ฟังตลอดทางตั้งแต่บินกลับจากญี่ปุ่นมากรุงเทพ ไม่ได้ปวดหูหรือเจ็บหัวจากการรัดแต่อย่างใด
- Battery ใช้ได้ 7 ชั่วโมงก็ถือว่าอึดมาก เหมาะกับการเอาไปใช้ 1 วันแล้วกลับบ้านมาชาร์จพอดี แต่ชาร์จโคตรนานตั้ง 3 ชั่วโมง ถ้าปรับปรุงตรงนี้ได้จะดีมาก
- คุณภาพเสียงของ Bose คือจะเน้นเสียงกลาง ออกแนวอบอุ่น ฟังนุ่มๆ ใสๆ สามารถฟังได้เพลงได้นานโดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดหรือเหนื่อย ไม่กระโชกโฮกฮาก แต่ก็มีเบสหนักๆไว้ขับเพลงโหดๆด้วย
- คุณภาพเสียงช่วงก่อนเบิร์นกับหลังเบิร์น ต่างกันค่อนข้างมาก เพราะตอนผมฟังทดสอบที่ร้าน เสียงค่อนข้างถูกใจเลย แต่พอซื้อตัวนี้มาฟังแรกๆ มันเสียงแข็งๆยังไงชอบกล แต่หลังจากเบิร์นเสร็จแล้วก็นุ่มถูกใจเหมือนเดิม ฮ่าาาา
- เป็นหูฟังที่ ถ้าฟังแบบไร้สาย จะเสียงดีกว่าฟังแบบมีสายครับ เอ้อ ฟังแล้วก็งงดี เพราะว่าถ้าเทียบคุณภาพการฟังเพลงเนี่ย ฟังผ่านสายมันก็ต้องเสียงดีกว่าสิ เพราะคลื่นรบกวนน้อยกว่า แต่ตัว Bluetooth Module ของ Bose AE2W ตัวนี้ มีแอมป์เล็กๆช่วยเพิ่มกำลังขับให้ตอนฟังครับ ทำให้เสียงตอนฟังแบบไร้สาย มีกำลังที่แน่นกว่าตอนฟังแบบมีสายซะอีก
- เวลาเก็บค่อนข้างยาก เพราะพับหูให้เล็กสุดๆ เหมือน Bose On Ear ไม่ได้ ทำให้ตอนเก็บค่อนข้างอันใหญ่เลยแหละ
โดยรวมแล้ว รู้สึกไม่ผิดหวังเลยที่ซื้อมา และคิดว่ามันจะเป็นหูฟังประจำโต๊ะคอมพิวเตอร์ของผมไปอีกนานนนนเลยล่ะครับ ถูกใจเสียงสุดๆ