ช่วงนี้ผมจะมีของจาก LG มารีวิวเยอะเป็นพิเศษหน่อยนะครับ สืบเนื่องจากที่ช่วงนี้มีการทำความรู้จักกัน รอบนี้ก็มีโอกาสได้ทดสอบ UHD TV รุ่นล่าสุดอย่างซีรีส์ UF950T ที่มีเทคโนโลยีการแสดงผลเฉดสีที่มากกว่าเดิมถึง 20% อย่าง ColourPrime ด้วย
ตัวที่ได้รับมาทดสอบคือขนาด 65 นิ้วครับ ใหญ่สัสรัสเซียเลยทีเดียว ตอนยกออกจากกล่องมาประกอบแทบตายด้วยน้ำหนักประมาณ 30 กิโล กว่าจะต่อเสร็จล่อซะหลังเกือบหัก ฮ่าๆ ตอนนี้จอทีวีแบบ 4K ก็อาจจะไม่ใช่ของแปลกอะไรแล้ว เพราะว่าเปิดตัวกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014 … แต่เทคโนโลยีในการแสดงผลจอภาพแบบใหม่ของ LG ที่เปิดตัวในงาน CES 2015 เมื่อตอนต้นปี มันสร้างความสตั๊นให้คนในวงการไม่ใช่น้อยเลยครับ
เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า ColourPrime ครับเป็นเทคนิคใหม่ในการทำให้จอภาพสามารถแสดงเฉดสีได้มากกว่าเดิมและสมจริงมากขึ้น รวมไปถึงความสมจริงที่ได้ ยังทนทานไม่เปลี่ยนไปตามเวลา เหมือนจอ LED รุ่นเก่าๆอีกด้วย
การทำงานของจอภาพ LED ทั่วๆไปก็คือ จะมีแผงฉายแสงสีขาว LED backlight ยิงแสงผ่านแผง TFT กับตัวแผง Liquid Crystal และแผ่น Filter เพื่อให้แสดงเฉดสีออกมาได้ ข้อดีของระบบ LED คือให้สีที่สมจริงกว่าทีวี LCD และ ประหยัดพลังงานกว่า แต่ส่วนข้อเสียก็คือ แสงขาวที่ยิงด้วยตัวแผง LED Backlight เนี่ย มันเป็นแสงที่เกิดจากการผสมจากส่วนกำเนิดแสงสีน้ำเงิน ที่เคลือบด้วย Phosper สีเหลืองดังนั้น เมื่อเอาแสงขาวที่เกิดจาก LED แบบนี้เวลานำไปแยกสีผ่าน Filter กรองสี สีที่ได้จะไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ผลิตเลยต้องลดค่าความสว่างของสีน้ำเงินและสีเขียวลงเพื่อป้องกันอากาสผสมสีออกมาแล้วเพี้ยน ผลที่ได้ก็คือ ภาพจะมืดกว่าความเป็นจริงนิดหน่อย
ดังนั้นก็เลยมีการคิดค้นเทคนิคใหม่ในการยิงแสงขาวออกมาให้เสถียรและสมจริงมากขึ้น เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Quantum Dot ครับ เจ้า Quantum Dot หรือ QD เนี่ย เป็นอนุภาคนาโนคริสตัลที่เล็กมากๆ จะทำหน้าที่ดูดกลืนแสงแล้วก็ปล่อยออกมาตามขนาดของมัน เช่นถ้าขนาด 5 นาโนเมตรจะเป็นสีแดง ขนาด 1.5 นาโนเมตรจะสะท้อนแสงสีม่วงออกมาครับ ซึ่งเราสามารถสร้างสีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ เพราะขนาดของอนุภาคเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยน ทำให้สามารถรักษาความคงที่ของสีได้
และเมื่อนำเอา QD มาใช้ในระบบทีวี ผลที่ได้ก็คือ สามารถสร้างแสงที่ไม่มีอาการผิดเพี้ยน การ Filter ค่าสีของทีวีก็จะแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง
แต่เทคโนโลยี ColourPrime ของ LG จะเป็นการผสมเทคโนโลยีหลายอย่างเข้ามาด้วยกันครับ อย่างแรกก็คือ แผง Color Filter แบบใหม่ที่ทำให้แสดงผลค่าสีได้มากกว่าเดิม 20% และใช้แผง Quantum dot เข้ามาเสริมเพื่อให้สีสรรสมจริงเข้าไปอีก
คือ ผมไปอ่านตัว Tech Sheet นี่ก็โคตรงงเลยแฮะ เลยเปิดจอทดสอบเองเลยดีกว่า ของแบบนี้มันต้องเห็นด้วยตาครับ การทดสอบครั้งนี้ก็ต่อผ่านสาย Lightning ผ่านหัวแปลง HDMI ไปยังสาย HDMI 2.0 นะครับ อ้อใครจะใช้จอ 4K อย่าลืมว่าต้องใช้สาย HDMI 2.0 นะครับ รุ่นเก่าที่เป็น HDMI 1.4 ทำให้แสดงผลได้ไม่เต็มที่นะครับ
ผมลองเปิดภาพจาก iPhoto ขึ้นมาเพื่อดูค่าสี … เห็นได้ชัดว่าสีจัดกว่าเดิมมากจริงๆ ส้มนี่ก็ส้มมมมมเอามากๆ ฟ้าก็นี่แปร๋นสุดๆเลยล่ะ แต่เนื่องจากกล้องที่ถ่ายใช้ iPhone6 ถ่ายมา อาจจะทำให้แสดงผลได้ไม่เท่าที่ตาเห็นนะครับ
LG 65UF950T ตัวนี้ รองรับ HDMI ทั้งหมด 4 Port ด้วยกัน และมี USB ให้เสียบ 3 Port ครับ เป็น USB 3.0 อยู่ 1 Port
ที่เหลือก็มีช่อง RS-232C ไว้สำหรับ Service หรือเข้า Maintenance ระบบ
Port LAN RJ45 x 1
ช่อง Optical Out x 1
ช่องเสียบสายต่อแบบ AV หรือ Component อีกอย่างละช่อง ซึ่งต้องใช้หัวแปลงด้วยครับ
ตามด้วยช่องเสียบเสาอากาศและช่องหูฟัง 3.5 มม
ที่น่าทึ่งมากคือ ความบางครับ เอาเฉพาะตัวจอ ไม่ได้นับส่วนการประมวลผลตรงแท่นนะ จอนี้ถือว่า โคตรบางเลยครับ
เนื่องจากเป็นจอ 4K การจะหาภาพแบบ 4K มาทดสอบนี่ก็แอบยากหน่อย ยังดีที่ Youtube มีไฟล์วีดีโอแบบ 4K ให้เล่นเยอะมาก ก็เลยทดสอบดูครับ กับไฟล์ Shibuya , Tokyo , Japan 4K Ultra HD
ใครที่จอเทพจะลองโหลดมาเล่นดูก็ได้นะครับ ภาพสวยมากเหมือนกัน คือจากภาพที่ผมดูทดสอบ ภาพสีฟ้าของน้ำทะเล กับสีเขียวของป่า นี่มันอิ่มมากๆ คือเห็นแล้วรู้สึกว่าไม่อยากละสายตา อูยยย ดูแล้วอยากกลับไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกจริงๆ
ลองทดสอบเฉดสีแดงดูบ้างกับภาพพวก Graphic ที่ผมโหลดมาจาก Pixiv .. การไล่เฉดสีแดงทำออกมาได้ดีมาก ไม่พบอาการเปื้อนของเฉดสีเลยครับ
ลองเอามาเล่นเกมดูบ้าง ตัวจอภาพจะมีโหลดต่างๆ สำหรับการปรับเฉดสีให้เหมาะกับหลายๆ กิจกรรม เช่นดูหนัง หรือเล่นเกม โดยเฉพาะ การดูฟุตบอลจะมีการเร่งสีเขียวของสนามหญ้าให้มากขึ้นอีกนิดเพื่อความตื่นตาตื่นใจเวลารับชมเกมด้วยครับ
และ LG 65UF950T ก็มาพร้อมกับ WebOS 2.0 ด้วยครับ … ก่อนหน้านี้เคยรีวิวเจ้า Smart TV ของ LG ที่เป็น WebOS มาก่อนหน้านี้ ทำให้ตัว TV สามารถลง App เพิ่มความสามารถได้ ในเวอร์ชั่น 2.0 จะมีการปรับปรุงเบื้องหลังมากกว่าเบื้องหน้าซักหน่อย คนที่ใช้งานอาจจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่แน่ๆ มีความเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้ครับ
- บูทเร็วและทำงานเร็วขึ้นมาก จากการทดสอบนี่เรียกกว่าเร็วกว่าเดิม 60-70% เลยทีเดียว ไม่มีกดแล้วยึกยักคิดมาก
- Magic Remote .. เพิ่มตัวเลขมาให้แล้วจ้า คือถ้าจากในรีวิวเก่า เจ้า Magic รีโมทเนี่ย จะไม่มีตัว Keypad มาให้ ทำให้บางคนจะเปลี่ยนช่องก็ต้องหารีโมทเก่ามากดเปลี่ยน ตัวใหม่มีปุ่มตัวเลขมาให้แล้วในตัว ทำให้ใช้รีโมทเดียวเที่ยวทั่วโลกได้นั่นเองครับ
- เพิ่มระบบ My Channel (จัดกลุ่มช่องที่ชอบของตัวเองได้) , Quick Setting (ปรับแต่งจอ โดยที่ยังแสดงรายการทีวีเล่นอยู่) , Input Picker (ตัวเลือก Input ใหม่ที่สามารถรู้ได้ว่าอุปกรณ์ที่เสียบเข้ามาคืออุปกรณ์อะไร)
- เพิ่ม LG Content Store หรือร้านค้าสำหรับขายหนังของทาง LG เอง
- และอื่นๆอีกเพียบครับ
เรื่องของการเชื่อมต่อก็รองรับทั้งสาย LAN และ WIFI ครับ แต่แหม ทีวีเครื่องละแสนกว่า ก็น่าจะให้ WIFI ที่รองรับความถี่ 5Ghz มาซักหน่อยนะเนี่ย
ระบบเสียงที่ให้มาเป็นแบบ 4.2 Channel ของ Harman / Kardon ครับ มีลำโพง 6 ตัวรองรับเสียง 3 ทิศทาง กำลังขับ 60W และมีภาคถอดรหัสของ DTS/Dolby Digital/AAC/PCM ในตัวด้วย .. เสียงดัง กระหึ่ม แต่ยังไงก็ตาม บ้านไหนที่มีทีวีเครื่องนี้ใช้ ก็คงมีระบบ Home Theater ดีๆใช้อยู่แล้วล่ะครับ
ตัวจอภาพรองรับเทคโนโลยีในการปล่อยภาพไร้สายทั้ง Miracast , Intel Wireless Display , DLNA , Smart Mobile Link หรือ สาย MHL เรียกได้ว่า ถ้าไม่ใช่ Apple Airplay แล้วอะไรก็มาเหอะ สามารถปล่อยภาพได้หมดแหละ
มีระบบ Time Machine ในตัวสามารถตั้งเวลาอัดรายการจากทั้งทีวี หรือ Source อื่นๆ ได้ หน่วยความจำมีให้ 16GB หรือ ถ้าอยากจะเสียบ External HDD เพื่มก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ตัวจอภาพรองรับความละเอียด 4K แต่ผมเอา Macbook Pro Retina มาเสียบกลับแสดงผลแค่ Full HD แต่เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าการ์ดจอรองรับ 4K ก็สามารถระเบิดความละเอียดเป็น 4K ได้ครับ
โดยรวมแล้วหลังจากทดสอบ ก็มีความรู้สึกดังต่อไปนี้นะครับ
- จอภาพคมบาดใจ สีสรรโคตรเทพ อย่างที่โฆษณาไว้จริงๆ
- ตัว Magic Remote ใช้งานง่ายและแม่นยำ สามารถชี้เป้าไปในอากาศแล้วควบคุมตัวเคอร์เซอร์ได้สบายๆ
- ระบบเสียงยังค่อนข้างเฉยๆครับ คือ เสียงดี แต่ยังไงก็ไม่ได้ดีเท่าเครื่องเสียงดีๆ อยู่แล้วล่ะ
- Web OS 2.0 เร็วจริง น่าประทับใจมาก แต่อยากให้ Content ของไทยมีเยอะกว่านี้อีกซักหน่อย รวมไปถึงอยากจะให้ HD Content ของไทยมีมากกว่านี้ด้วย
- ตัวจอภาพเป็น 4K .. พอเอา Full HD มาเล่นก็มีอาการภาพแตกให้เห็นบ้าง ถึงแม้ว่าจะตัว 4K Upscale มาช่วย แต่ก็ยังไม่คม ต้องใช้พวก Bluray ที่มี Bitrate สูงๆมาช่วยดันจริงๆ ถึงจะไม่แตก
- ราคาเท่าที่สืบทราบมาคือ แสนกลางๆ สำหรับตัว 65 นิ้วครับ ค่อนข้างสูงทีเดียวเชียวล่ะ แต่กับบรรดาคนมีตังค์ที่เล่นเครื่องเสียงแล้ว แอมป์ของพวกท่านบางคนยังแพงกว่าจอนี้อีกนะ
- เชื่อว่าปีหน้า เทคโนโลยี Quantum Dot จะลงมายังจอรุ่นกลางและรุ่นล่าง ทำให้ราคาจอทั่วไปน่าคบหากว่านี้ครับ
- เอาจอ 4K มาดู ช่อง 3 แบบปกติที่เป็นความละเอียดแบบ 576 ผมถึงกับอุทานว่า โอ้โห นี่มัน VCD หรือไร อันนี้มันเรื่องธรรมดาแหละนะ จอภาพก็ต้องหา Content เทพๆมาแสดงผลด้วย ยังไงก็ย้ายไปดูพวก HD Channel หรือ TV Digital ช่อง HD จะสบายตากว่านี้ครับ ฮ่าๆ