ผมแอบเลี้ยงหมาในคอนโดครับ (มาบอกแบบนี้ก็ไม่แอบแล้วสิ) .. และด้วยการแอบเลี้ยงเนี่ย ช่วงกลางวัน ผมกับจอยก็ออกมาทำงานกันทั้งคู่ ก็เลยเป็นห่วงว่า ตอนกลางวันเจ้าเมล่อนจะเป็นยังไง สุขสบายไหม เพราะตอนผมกับจอยไม่อยู่บ้าน ก็จะขังเมล่อนไว้เพราะกลัวบ้านพัง บวกกับกลัวมันไปกัดสายไฟเข้า (มันเคยแทะสาย HDMI ผมกระจุยมาแล้ว) ทีนี้ระหว่างวันด้วยความคิดถึง ก็เลยอยากจะติดกล้องวงจรปิดเพื่อดูหน้าตาหน่อยว่ายังสบายดีกันอยู่หรือเปล่านี่แหละครับ
ก็ไปได้มาตัวนึง ยี่ห้อ Engenius ที่ผมเคยรีวิว Wireless Router ของยี่ห้อนี้มาก่อน .. เห็นหน้ากล่องเขียนว่า Intelligent IP-Camera .. ด้วยความสนใจก็เลยอยากจะรู้ว่ามัน “ฉลาด” สมกับที่แปะไว้หน้ากล่องแค่ไหน
โดยทั่วไปการ กล้องวงจรปิดมี 2 ประเภท คือแบบ CCTV กับแบบ IP-Camera ครับ
แบบ CCTV ก็จะมีกล่อง DVR คอยคุมกล้องแล้วตัวกล้องก็จะใช้สาย Coaxial ต่อออกไป ข้อดีของระบบ CCTV คือ ถ้าคุณใช้กล้องเยอะๆ มันจะราคาถูกกว่า เพราะความสามารถถูกควบคุมจากกล่อง DVR อย่างเดียว
ส่วนแบ IP-Camera ก็จะสามารถทำทุกอย่างได้ในตัวมันโดยที่ไม่ต้องใช้กล่อง DVR ครับ ข้อเสียก็คือ แพงเนี่ยแหละครับ ถ้าจะขึ้นระบบซัก 30 กล้อง ก็อาจจะหน้ามืดได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในระบบใหญ่มาก ที่ใช้กล้องกันเป็น ร้อยๆ ตัว อย่างสนามบินสุวรรณภูมิ การใช้ IP Camera นั้น เพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่ามหาศาลครับ เพราะมีระบบสนับสนุนเยอะมากๆ ชนิดกล้อง CCTV สู้ไม่ได้
แต่ใช้ในบ้านเพื่อดูหมาอย่างผม กล้องตัวเดียวก็พอแล้ว
EDS-1130 เป็นกล้องรุ่นล่าสุดจาก Engenius ความเจ๋งของมันคือ ง่ายสำหรับทุกอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง การเชื่อมต่อ การเซ็ตอัพ และการใช้งาน มาดูกันไปทีละเรื่องละกันครับ
แกะกล่องมาก็เจออุปกรณ์ดังต่อไปนี้
- ตัวกล้อง
- ขายึด (ยึดผนัง / เพดาน / วางพื้น) ได้หมด
- สาย RJ-45 แบบสั้นไว้ต่อกับ Wall Mount
- น็อตยึดกับฝ้า
- Power Adapter
- คู่มือและแผ่น QR Code เพื่อการจับคู่เจ้ากล้องตัวนี้
ตัวกล้องรองรับความละเอียด HD 720p และมี Infrared Sensor ไว้ถ่ายภาพกลางคืนมาให้ในตัว ซึ่งจะมีสติ๊กเกอร์แปะอยู่หน้ากล่อง แกะออกก่อนนะครับ
เราสามารถเสียบ MicroSD Card เพื่อบันทึกภาพในตัวกล้องเลยก็ได้ และควรเลือกการ์ดความเร็วสูงๆหน่อย ไม่อย่างงั้นจะเขียนภาพไม่ทันนะครับ รองรับแบบ SDHC ความจุสูงสุดได้ 32GB ครับ
ด้านหลังก็มีช่องเสียบ Power Adapter / ช่องเสียบลำโพง / ปุ่ม Reset / ปุ่ม WPS ไว้กดเพื่อเชื่อมระบบไร้สายเข้ากับที่บ้านเราครับ
ที่ผมบอกว่าติดตั้งง่ายก็คือ แค่หมุนตัวกล้องเข้ากับขายึด ก็ใช้ได้แล้ว
แถมตัวขายึดยังพลิกเพื่อนำไปติดเพดานหรือกำแพงได้อีกด้วยครับ สมัยก่อนเวลาติดพวก IP Camera ขาวางพื้นกับขาติดผนังนี่จะแยกกันมา ผมก็ไม่เข้าใจทำไมไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรก นี่แหละครับ ติดตั้งง่าย เพราะแค่หาจุดติดตั้งแล้วเสียบปลั๊กไฟก็เรียบร้อยแล้ว
สำหรับเรื่องของการติดตั้งง่ายยังมีอีกเรื่องครับ นั่นก็คือกล้องตัวนี้รองรับการเชื่อมต่อด้วย Wireless N 150Mbps ที่มีระบบ WPS มาด้วย เจ้าระบบ WPS เนี่ย เป็นความสามารถในอุปกรณ์ Network แบบใหม่ที่ทำให้อุปกรณ์สองตัวรู้จักกันได้ โดยที่เราไม่ต้องไปกรอก Wifi Key ให้มันครับ วิธีการก็ง่ายมาก ถ้า Wireless Router ของคุณมีระบบ WPS อยู่ จะมีเจ้าปุ่ม WPS บนเครื่อง กดที่ฝั่ง Wireless Router ก่อน จากนั้นก็กดที่กล้อง หลังจากนั้น ทั้ง 2 ตัวก็จะแลก Profile กัน รู้จักกันโดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อนเลยครับ
ตอนนี้อุปกรณ์ Network รอบๆตัว จะรองรับ WPS กันเยอะมากแล้ว หัดใช้ไว้นะครับ ชีวิตจะสะดวกขึ้นมากเลยทีเดียว
ผมตั้งกล้องเอาไว้ที่หน้ากรงเมล่อนครับ เอาไว้ดูว่าตอนนี้เมล่อนมันเป็นไงมั่ง หลังจากที่ Setup เสร็จก็สามารถเข้าไปดูได้ผ่านทาง Browser แบบนี้แหละ จริงๆ คือ ถ้าคนที่ทำงานด้าน Network มาติดตั้งระบบกล้อง IP Camera แบบนี้มันหมูมากๆ แต่กับคนทั่วไปคงจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ทาง Engenius เค้าก็เลยทำ App ขึ้นมาให้ชื่อว่า EnViewer ครับ นอกจากเราสามารถดูภาพผ่าน App ตัวนี้ได้แล้ว ยังสามารถเข้าไปจัดการกล้องผ่าน App ได้ง่ายๆอีกด้วย
ทุกทีเวลาที่เราจะทำระบบดูกล้องทาง Internet สิ่งที่ต้องทำ 2 อย่างก็คือ
- ทำ Dynamic DNS เพื่อบอกให้อุปกรณ์ที่จะเข้าไปดูรู้ว่าตอนนี้ Internet ที่เราเชื่อมกับกล้องอยู่มันทำงานอยู่ที่ IP Address ไหน เพื่อทีจะ Access กลับไปที่บ้านของเราได้
- พอวิ่งมาถึงบ้านของเราแล้ว ยังต้องทำ Port Forwarding เพื่อบอกให้ Router ส่งข้อมูลว่าเราอยากจะดู ไปที่กล้องของเราอีก
ซึ่งขั้นตอนทั้ง 2 อย่าง เหมือนจะง่าย แต่ก็โคตรยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐาน Network และความเข้าใจตรงนี้มาก่อน
แต่ Engenius EDS-1130 ตัวนี้ ทำให้ขั้นตอนทั้ง 2 อย่างหมดไปด้วยวิธีง่ายๆครับ คือ กล้องทุกกล้องจะมีระบบ Dynamic DNS ของ Engenius ติดมาด้วยเลย ไม่ต้องหาสมัครบริการ มากรอกข้อมูลให้ยุ่งยากแต่อย่างใด รวมไปถึง มีระบบ uPNP เพื่อบอกให้ Router ช่วยทำ Port Forward มายังกล้องได้ทันที และเพื่อให้การ Setup ง่ายที่สุด เค้าก็เลยทำ QR Code มาให้ซึ่งแถมมากับกล่องนี่แหละครับ แค่ใช้ Enviewer ถ่ายรูป QR Code ใบนี้ก็จะสามารถเพิ่มกล้องเข้าไปใน App มือถือได้เลย
หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จ ก็จะเห็นกล้องทันที กดดูได้เลยไม่ว่าจะเป็น WIFI หรือ 3G ใช้ได้หมด
แล้วความคมชัดเป็นยังไง
EDS-1130 มีความเจ๋งตรงที่สามารถปล่อยภาพออกมาได้ 2 ความละเอียดพร้อมกันครับ แถมเลือกได้เลยว่าจะปล่อยความละเอียดระดับไหนออกมา อย่างในภาพนี้เป็นความละเอียดระดับ 720p ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ได้คมซักเท่าไหร่ แต่ก็มีดีตรงที่ปล่อย 2 ความละเอียดพร้อมกันได้นี่แหละ ตอนต่อ WIFI จะได้ดูภาพแบบ 720p.. ถ้าเกิดต่อ 3G อาจจะดูที่ความละเอียดน้อยลงมาหน่อยเหลือแค่ 480p ก็พอ
เวลาแสงไม่พอ ตัวกล้องจะมี Sensor ตรวจจับสภาพแสงโดยอัตโนมัติแล้วก็จะฉายแสงอินฟราเรดออกมา ทำให้เรามองเห็นในที่มืดได้แบบนี้เลยครับ
ตัว App สามารถกดอัดวีดีโอแล้วบันทึกลงมือถือได้เลย อันนี้เป็นภาพวีดีโอแบบ 480p ที่อัดบนบน iPhone6 ผ่านระบบ 3G นะครับ ซึ่งจะว่าไป การติดกล้องแบบนี้ก็ทำเอาผมนอยด์มากเหมือนกันนะ
เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนติดกล้องใหม่ๆ ก็เห่อดูเป็นพิเศษ … ขับรถออกมาแล้วก็เลยเปิดกล้องเล่นๆ เพื่อดู ปรากฏว่า เมล่อนมันเห่าไม่หยุดเลยครับ แถมยังมีอาการหวาดกลัวอะไรก็ไม่รู้ขุดชามน้ำใหญ่เลย ซึ่งทุกทีไม่เคยเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็ต้องเลี้ยวรถกลับไปดู พบว่า มันเห่า กองทัพนกพิราบที่มาเกาะที่ระเบียง เพราะวันนั้นลืมปิดผ้าม่าน มันเลยเห็นนกพิราบเนี่ยแหละ
ตัวกล้องยังมีความสามารถเจ๋งๆอีกเยอะ เช่น ระบบ Upgrade Firmware เป็นรุ่นใหม่โดยอัตโนมัติ
เชื่อมต่อกับ Cloud ของ Engenius เพื่ออัพเดท Dynamic DNS
Universal Plug and Play เพื่อหมดปัญหาเรื่องทำ Port Forwarding (แต่ Wireless Router ที่ใช้ต้องรองรับ uPnP ด้วยนะครับ)
สำหรับคนที่มี WIFI หลายๆแห่ง สามารถทำ Network Profile หลายๆที่เก็บเอาไว้ได้ เวลาย้ายที่จะได้ต่อง่ายๆโดยที่เราไม่ต้องมานั่ง Config เอง
ตัวกล้องสามารถทำ Privacy Mask หรือ ป้ายบดบังเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ครับ เช่นอาจจะตั้งกล้องไว้เพื่อดูว่าใครผ่านมา แต่กล้องมันอาจจะเห็นหน้าต่างบ้านข้างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปส่งบ้านเจ๊แก หรือเราเผลอบันทึกหน้าต่างบ้านข้างๆไว้ ก็สามารถสร้าง ป้ายบดบังเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ถึง 3 ป้ายเลยทีเดียว
การตั้งเวลาบันทึก สามารถทำได้สองแบบ คือ ตั้งเป็น Event หรือตั้งเป็นตารางเวลาครับ
- แบบ Event คือ เราสามารถกำหนด Zone ด้วยหน้าต่างคล้ายๆ ป้ายบดบังเนี่บแหละ แต่กำหนดว่า ถ้ามีความเคลื่อนไหวใดๆ ผ่านจุดที่เรากำหนดไว้ให้บันทึกโดยอัตโนมัติ
- แบบ Schedule ก็คือ ตั้งเวลาได้ว่าจะให้อัดกี่โมงกี่ยาม เช่นคุณอาจจะตั้งกล้องไว้หน้าตู้เซฟ แล้วกำหนดว่า ให้บันทึกตั้งแต่หลังเลิกงานไปจนถึงตอนเช้าอะไรแบบนี้ครับ
การทำ Notification เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถส่งทาง Email ก็ได้ และมี Profile ของ Email Provider ชื่อดังๆ อย่าง Hotmail , Yahoo , Gmail มาครบเลยครับ ไม่ต้องตั้ง Mail Server เอง แถมระบบ Email ยังทำงานเชื่อมกับระบบ Event ด้วยนะ
เช่นตั้งระบบ Event เอาไว้ ถ้ามีคนเดินผ่านห้องนี้ ในช่วงเวลาหลังเลิกงาน นอกจากจะบันทึกภาพเก็บเอาไว้ ยังส่งภาพนิ่งมาทาง Email หาเราทันทีเลยก็ได้ เราจะได้รู้ตัวว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นครับ
จริงๆแล้ว EDS-1130 ยังมี Feature ดีๆอีกเยอะมากเลยครับ ต้องยอมรับว่ามันเป็นกล้องที่เก่งและจบในตัวจริงๆ ความสามารถที่อยู่ในกล้อง IP-Camera ตัวใหญ่ๆใส่มาให้ครบเลยทีเดียว จะเสียอย่างเดียวก็คือ มุมกล้องไม่ Wide มาก และคุณภาพของภาพอาจจะไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ แต่ด้วยค่าตัวแค่ 5,500 บาท กับความสามารถครบเครื่อง / ง่าย และ รองรับ App บนมือถือด้วย ผมก็ยกให้เป็นกล้อง IP-Camera ที่ผมแนะนำคนรู้จักรัวๆในตอนนี้เลยครับ