เมื่อเดือนเมษายน ผมพึ่งไปปั่นจักรยานที่ประเทศญี่ปุ่นมา แต่เนื้อหาส่วนนั้นกำลังทำเป็นหนังสืออยู่อดใจนิดละกันนะครับ มาอ่านทริปไปปั่นจักรยานที่สิงค์โปร์แทนไปก่อน สำหรับคนที่ชอบปั่นจักรยานแล้ว ประเทศสิงค์โปร์ถือว่า ปั่นสนุกมากไม่แพ้ประเทศอื่นเลยล่ะครับ เพราะว่าถนนดีมากๆ เมืองเป็นระเบียบ และรัฐบาลสิงค์โปร์สนับสนุนการปั่นจักรยานในเมือง ทำให้มีทั้งสวนสาธารณะและเส้นทางจักรยานเต็มไปหมดเลย
หลังจากที่เสร็จสิ้นการปั่นที่ประเทศญี่ปุ่น ผมก็เริ่มมองหาประเทศที่สองในการแบกจักรยานไปปั่นแล้ว ก็กะจะหาเอาประเทศใกล้ๆแถวบ้านเรานี่แหละครับ เพราะความเสียหายด้านการเงินจากทริปญี่ปุ่นยังไม่หายบอบช้ำดี พอดีว่า เพื่อนผม 2 คนสมัยมหาวิทยาลัยที่เราเคยเปิดบริษัทด้วยกันเมื่อสิบปีก่อนแล้ว กำไรของปีแรก เราเอาไปเที่ยวสิงค์โปร์กันยกบริษัท พอดูรูปเก่าๆเลยถามเพื่อนว่า จะครบสิบปีแล้วนะ ไปกันอีกซักรอบไม๊พวกเรา เพื่อนผมอีกคนมันก็เป็นนักปั่นสายลุยต่างประเทศเหมือนกันเลยเสนอว่างั้นน่าจะแบกจักรยานไปปั่นด้วยนะ เลยเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ครับ
แต่พอเอาเรื่องนี้ไปคุยใน LINE Group เลยกลายเป็นว่า รุ่นน้องของผมสองคนก็ตามมาแจมด้วย บวกกับ แฟนผมกับแฟนเพื่อนก็โดนลากมาอีกคน กลายเป็นว่าทริปนี้มากัน 8 คน ปั่นซะ 6 คน ประกอบไปด้วย ผม , จอยแฟนผม , ไอ้เดชเพื่อนสมัย ABAC , เมย์ แฟนไอ้เดชมัน และเบียร์กับต้อง อดีตลูกน้องร้าน VR Online ร้าน Internet ที่ผมเคยเปิดเมื่อสมัย 10 กว่าปีก่อน ซึ่งตอนนี้ก็บ้าจักรยานกันทั้งก๊วน
สำหรับการปั่นจักรยานที่สิงค์โปร์ สามารถทำได้สองแบบ แบบแรกก็คือ บินไปที่โน่น แล้วก็ไปเช่าเอาในสวนสาธารณะ โดยที่ร้านให้เช่าก็จะเปิดประมาณ 9 โมงเช้า – 5 โมงเย็น ค่าเช่าก็แล้วแต่ร้านค้า แต่ส่วนใหญ่ ชั่วโมงละ 7 SGD (Singapore Dollar) เช่าเพิ่มก็มีโปรลดราคากันไป จักรยานก็มีทั้งแบบนั่งคนเดียว นั่งหลายคน หรือจักรยานเด็กครับ สะดวกแบบไหนเลือกเอาได้ตามใจชอบ แต่แบบนั้นจะไปมันส์อาร้ายยยยย มันต้องขนไปเองสิ
ผมมีประสบการณ์จากการขนจักรยานไปญี่ปุ่นมาอยู่แล้ว ทำให้ครั้งนี้พอจะเข้าใจความทรมานของการแบกจักรยานไปยังต่างประเทศดี ครั้งนี้เลยชำนาญมากขึ้นทั้งการเลือกของที่จำเป็น (ครั้งที่แล้วเผื่อมากไปหน่อย) และการ Pack จักรยานลงกล่อง รวมถึงพวกกระเป๋าเสื้อผ้าด้วย ทำให้สบายขึ้นเยอะ
การขนจักรยานครั้งนี้ ผมขนเอา Trek Madone 5.2 กับ Specialized ของจอยแฟนผมไป โดยที่ Trek ของผมจะใส่กล่องแข็ง และ Specialized ของจอยจะใส่กระเป๋าจักรยานแบบอ่อนไปครับ วิธีเอาจักรยานลงกล่องง่ายๆ ก็คือ ถอดล้อ หน้า-หลังออก เอาแกนปลดล้อแบบเก็บโซ่มาใส่เพื่อไม่ให้ตีนผีขยับไปไหนได้มาใส่ จากนั้นก็เอาลงกล่องด้วยการถอดหลักอาน กับ แฮนด์ออกครับ ดูเผินๆเหมือนจะแยกร่างรถนะ แต่จริงๆ ก็ไม่ยากอะไรเลยครับ
ขั้นตอนการส่งจักรยานขึ้นเครื่องก็คือ ตอนเช็คอิน ให้บอกทางเจ้าหน้าที่ว่าเป็น จักรยานครับ เจ้าหน้าที่จะติด Tag ให้กล่องจักรยานของเรา และให้ Tag รับของมาด้วย ซึ่งขั้นตอนเหมือนกับตอนเราโหลดกระเป๋าเดินทางทุกประการครับ ต่างกันตรงที่ว่า ทุกทีกระเป๋าเราจะขึ้นสายพานเพื่อเข้าโหลดใต้เครื่อง แต่คราวยี้เราต้องเอากล่องจักรยานไปโหลดที่ ห้อง Oversized Baggage เอง ตอนที่ขนไป เจ้าหน้าที่ก็จะ Scan ผ่านเครื่องซักรอบนึง ถ้าไม่มีปัญหาก็จบข่าวเดินตัวปลิว รอรับของที่ช่อง Oversized Baggage ที่สนามบินปลายทางได้เลยครับ
เที่ยวบินของผมออกเดินทางเช้าวันที่ 23 กรกฏาคม ตอนประมาณ 9.30 และถึงสิงค์โปร์ตอนเที่ยงครึ่งครับ บินด้วยสายการบิน JetStar เรื่อยๆไหลๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน พอถึงสนามบิน Changi ก็ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็รอรับกล่องจักรยานที่ห้อง Oversized Baggage…
แต่เดินหาตั้งนาน ไม่เห็นห้องรับของ Oversized Baggage เลยแฮะ ปรากฏว่ามันมาอยู่ที่ช่อง Odd-Size หรือ ที่รอรับของขนาดแปลกๆนั่นเองครับ
ทีนี้ขนจักรนานมาสองคันจะให้เข็นขึ้นรถไฟ MRT เข้าเมืองแบบทุกทีที่มาสิงค์โปร์คงไม่ได้ วิธีที่ง่ายที่สุดคึอเรียก Large Taxi มารับครับ ออกมาด้านหน้าเดินมาทางซ้าย จะมีบูทเรียก Taxi แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าของแบบ Large Taxi ค่าโดยสาร 60$ ไปทุกที่บนเกาะสิงค์โปร์จ่ายเงินกับคนขับเมื่อถึงปลายทาง ราคาอาจจะสูงซักหน่อย แต่ถ้าเทียบกับความสบายเพื่อไปให้ถึงโรงแรมให้เร็วที่สุด ผมว่าก็โอเคนะ
ก่อนจะไปเรียก Taxi แวะซื้อ SIM ด้วย ผมเลือกตัว 50$ ครับ ได้ Data 5 GB ใช้งานได้ 7 วัน ขั้นตอนการซื้อก็ไม่มีอะไรมาก ยื่น Passport ให้เจ้าหน้าที่บันทึก จากนั้นก็ใช้ได้เลย
เจ้าหน้าที่ของบูทเรียก Taxi จะให้บัตรเพื่อบอกให้เรารู้ว่า เราจะไปขึ้นรถคันไหน ซึ่งเลขก็จะไม่เรียงกันครับไม่ต้องตกใจ เวลาคนขับเค้าขับมาถึงสนามบิน เค้าจะบอกหมายเลขของเค้า เราก็เอาหมายเลขไปแสดงตัวก็จบแล้ว พี่คนขับแนะนำตัวว่าเขาชื่อ Jackson แล้วก็ขอให้เราช่วยกันขนจักรยานขึ้นเราเค้าโดยที่ช่วยระมัดระวังเบาะเค้าหน่อย ขั้นตอนก็เรียบร้อยดีครับ
ถึงโรงแรมประมาณบ่าย 2 กว่าๆ ประกอบจักรยานกันบ่ายสาม แล้วเริ่มลุยเลย … และสำหรับทริปนี้ ผมเลือกที่จะปั่นเส้นทางยอดนิยมที่นักปั่นสิงค์โปร์ชอบกันมากที่สุดนั่นก็คือ ปั่นรอบเกาะสิงค์โปร์มันซะเลยครับ
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศแต่สิงค์โปร์ก็ขนาดไม่ใหญ่เลยครับ เรียกว่าเล็กกว่ากรุงเทพของเราซะอีกครับ ดังนั้นการปั่นรอบเกาะสิงค์โปร์มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอกครับ ถ้าฝึกซ้อมดีๆหน่อย ก็สามารถทำได้ไม่ยาก
แต่ถึงจะขนาดเล็กก็จริง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไปปั่นมั่วๆซั่วๆได้นะครับ ผมเองถึงจะไปสิงค์โปร์มาเกือบๆ 20 ครั้งแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เดินทางด้วยรถ MRT ใต้ดินทั้งนั้น ทำให้ไม่เข้าใจถนนซักเท่าไหร่ ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ไปหาเส้นทางที่มีคนเคยปั่นมาแล้ว จากนั้นก็เอามาทำแผนที่นำทางครับ โดยเว็บที่ผมใช้ก็คือ mapmyride.com กดสมัครสมาชิก ไปที่หัวข้อ Find Route จากนั้นก็กรอก Keyword กับสถานที่ได้เลยครับ กรอก Singapore มันทั้งคู่นั่นแหละ แล้วระบุระยะทางอย่างน้อย 100 กิโลเมตรครับ
ผลที่ได้ออกมาเพียบเลย มีกระทั่งเส้นทางการแข่งขันของ Singapore 200 Miles Ultra ด้วย ระยะทางตั้ง 320 นี่ปั่นรอบเกาะกัน 3 รอบเลยเรอะ!!!
เลือกๆอยู่ซักพัก พร้อมกับถามๆไปยังรุ่นน้องที่จะไปปั่นด้วยกันทุกคนเลือกไอ้นี่แหละ ระยะทางกำลังดี วนรอบเกาะ แบบไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไหร่ น่าจะสามารถ Finish ได้ไม่ยากครับ จากนั้นผมก็โหลด Course นี้เข้าไปเป็นไฟล์ Navigator ยัดใส่ Garmin 810 ของผม เตรียมแผนที่ตั้งแต่อยู่กรุงเทพ ไปปั่นที่โน่นสบายแน่นอน แต่ทว่า ทริปนี้ก็มีดราม่าเยอะชิปเป๋งเลยครับ ฮ่าๆ
ดราม่าที่หนึ่ง แผนปั่นเกือบจะล่ม!!
สาเหตุก็เพราะว่า ผมและผองเพื่อนมากันคนละ Flight ครับ ผมบิน JetStar เพื่อนบิน สายการบินอะไรซักอย่าง ตามแผนจะถึงสิงค์โปร์ประมาณ 6 โมงเช้า แต่อยู่ดีๆ สายการบินก็เลื่อน Flight ขึ้นแถมยังเลื่อนถึงสองครั้งกลายเป็น บิน 4 ทุ่ม ถึงประมาณ ตี 1 … ทำให้เพื่อนต้องนอนสนามบินแทน แถมจากประเมินการนอนสนามบินผิดเพราะหาที่นอนไม่ได้ บวกกับ กว่าจะเช็คอินเข้าโรงแรมได้ ปาเข้าไปเที่ยง เพื่อนผมที่อดนอนมาทั้งคืน ตามแผนการปั่นที่เล็งกันเอาไว้ เราจะปั่นกันในวันที่ 23 เริ่มประมาณ 4 โมงเย็น ด้วยระยะทางประมาณ 125 กม. คำนวนคร่าวๆ น่าจะเสร็จประมาณเที่ยงคืน หรือถ้าจะเลทก็น่าจะไม่เกินตี 2
แต่เนื่องจากการโดนเปลี่ยน Flight เลยทำให้มันไม่มีเวลานอน มันบอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนไปปั่นวันที่ 24 แทนได้ไหม แต่ผมเช็คพยากรณ์อากาศมาแล้ว วันที่ 24 ฝนตกนะ เราจะปั่นกันไม่ได้ แล้วถ้าเลื่อนออกไปอีก คิวเรื่องเที่ยวก็จะเพี้ยนกันหมด สุดท้ายผมก็บอกให้มันไปนอนตุนให้เยอะๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
ดราม่าที่สอง ตีนผี หรือ Rear derailleur ของจักรยานผม หลุดออกมาตอนขนย้าย…
ในระหว่างที่กำลังรอเพื่อนชาร์จพลัง ผมก็ยกจักรยานออกมาประกอบ หน้าโรงแรม ตอนที่ยกเฟรมออกมาปรากฏว่าเจ้าตีนผีที่ทำหน้าที่เปลี่ยนเกียร์จักรยาน หลุดออกมาจากเฟรม โอวววว ชิท!! ร้องกริ๊ดเป็นผีเข้า เพราะถ้าส่วนนี้เสียหายล่ะก็ จักรยานจะเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ และมันถือเป็นส่วนที่ค่อนข้างบอบบางมากในจักรยานเลยทีเดียว สาเหตุก็เพราะผมลืมใส่แกนปลดเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงตอนขนย้ายนั่นเอง แต่ยังดีที่ มันหลุดออกมาแค่น็อต 2 ตัวที่ยึดไว้เท่านั่น ไขกลับเข้าไป แน่นตัวนึง หวานตัวนึง แต่ก็ยังพอใช้งานแบบเสียวๆได้ เฮ้อออออ…
ขั้นตอนการประกอบจักรยานไม่ยากเท่าไหร่ แต่ไอ้เหนื่อยที่สุดคือ เติมลมจักรยานครับ …. อ้อ ผมลืมเล่าไปสินะ ว่าถ้าคุณจะขนจักรยานขึ้นเครื่องบิน คุณต้องปล่อยลมยางที่สูบไว้ออกซะด้วย เพราะตอนขึ้นเครื่องความกดอากาศจะลดต่ำลง อากาศในล้อจะขยายตัวขึ้น ถ้าคุณเติมลมไว้เท่าเดิม จะทำให้ยางแตกได้ครับ เราจึงต้องปล่อยลมออก ซึ่ง ผมก็ได้เอาสูบลมแบบพกพาติดมาด้วย แต่ไม่นึกเลยว่าการเติมลมขนาด 120psi ให้ล้อ 4 ล้อมันจะเหนื่อยแทบหมดลมขนาดนี้ เรียกได้ว่ากดกันจนตัวแหลก เหงื่อโทรมกาย หัวใจเต็นแรงทะลุโซนห้า ยังเติมลมได้แค่ประมาณ 80-85 psi เท่านั้นเอง แต่โชคดีที่ไอ้ต้องเอาสูบลมขนาดใหญ่ติดมาด้วย ทำให้เติมเต็ม 120 psi ได้สบายๆ ชั่วโมงนั้น บอกกับตัวเองเลยว่า รอบหน้าถ้าไปปั่นเมืองนอก จะแบกเอาสูบลมขนาดใหญ่ไปด้วยและ
สำหรับอุปกรณ์สำรอง ผมเอา ชุดเครื่องมือครอบจักรวาล 1 อัน / ยางสำรอง 4 เส้น / สูบพกพา 1 อัน / ที่ปะยาง 1 ชุด / ที่งัดยางแบบโคตรแข็งแรงอีกหนึ่งชุดครับ แล้วก็ Power Bank ขนาด 6000 mAh ลูกนึง
4 โมงเย็น ล้อเหมือนจะเริ่มหมุน
ผมประกอบจักรยานเสร็จ แฟนผมก็เตรียมตัวเรียบร้อย ต้องกับเบียร์ซึ่งพักคนละโรงแรมก็ประกอบจักรยานเสร็จเช่นเดียวกัน ก็ปั่นมาจนถึงโรงแรมที่ผมพัก เราพักกันที่ย่าน Geylang ย่านที่ค่อนข้างจะโลกีย์ที่สุดในเกาะสิงค์โปร์ แต่โรงแรมมันถูกนี่จ๊ะ ก็ออกปั่นไปหาข้าวกินเพื่อเติมพลังกันก่อน เพราะตั้งแต่เที่ยงยังไม่ได้กินอะไรเลย ประกอบกับ ไอ้เดชกับแฟนโทรมาบอกว่า เดี๋ยวจะตามไปปั่นด้วย ขอประกอบรถก่อน
ซัดข้าวมันไก่สิงค์โปร์ระหว่างที่รอไอ้เดช ประมาณ 30 นาที มันก็ตามมา พวกเราทุกคนโหลดน้ำ และ ของกินเตรียมกันเอาไว้ระดับนึง เพราะทริปนี้ มีมือใหม่มาด้วย 2 คน นั่นก็คือ เบียร์กับไอ้ต้อง ซึ่งทั้งคู่ยังไม่เคยผ่านทริป 100 โลมาก่อนเลย (เรียกได้ว่า จัด 100 โลครั้งแรกก็เอาต่างประเทศกันก่อนเลย)
ผมเปิด Garmin 810 เข้าสู่โหมดนำทาง แต่มันพลาดท่าตรงที่ ไอ้แผนที่นำทางที่ได้จาก Mapmyride กับแผนที่ประเทศสิงค์โปร์ที่โหลดมามันเพี้ยน และมันไม่มีจุดนำทางครับ พูดง่ายๆ คือใช้นำทางแล้วงงโคตรๆ เอาล่ะสิ แค่จะเริ่มปั่นก็บรรลัยแล้ว เพราะไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหน ไอ้เดชผู้ซึ่งเคยมาปั่นที่สิงค์โปร์มาก่อน รอบที่แล้ว บอกว่า งั้นเราไปเริ่มที่ East Coast Park กันก่อนละกัน
ความสะดวกสบายอย่างนึงของการปั่นจักรยานในสิงค์โปร์ก็คือ แต่ละสวนสาธารนะจะมีถนนจักนยานเชื่อม และทาสีบอกเอาไว้บนพื้นตลอด โดยเส้นทางนี้เรียกว่า PCN หรือ Park Connector Network ทำให้ผู้คนในสิงค์โปร์ที่ถึงแม้จะมีพื้นที่ไม่มาก แต่สามารถออกกำลังกายได้อย่างสะดวกสบาย รวมไปถึง Park แต่ละแห่งก็ขนาดใหญ่และมีการตีเส้นกำกับเอาไว้ชัดเจนว่าเลนไหนของจักรยาน เลนไหนของคนวิ่งครับ เราปั่นออกจาก Geylang โดยเกาะเส้นทาง PCN ไปยัง East Coast Park โดยเริ่มต้นจากล่างเกาะ แล้ววนขวา ทวนเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ
เส้นทาง PCN กว้าง เรียบ และขับง่ายไม่หลง เพราะมีป้ายบอกทางอยู่ตลอด โดยที่สองข้างทางของ PCN ก็จะผ่านย่านที่อยู่อาศัยของผู้คน คนสิงค์โปร์ส่วนใหญ่จะอยู่กันใน Apartment สูงๆ ซึ่งแต่ละ Apartment ก็จะมีสวนหย่อมเล็กๆไว้ออกกำลังกาย และมีทางเดินออกมา PCN ด้วยครับ
ใช้เวลาประมาณซัก 20 นาที ก็ปั่นมาถึง East Coast Park .. เป็นสวนที่หย่ายยยยยยยยยยยยยยยมาก อยู่ติดริมอ่าวด้านตะวันออกของเกาะ สมกับชื่อ East Coast Park ระยะทางที่ปั่นในสวนยาวมากๆ ตอนผมปั่นผมก็ชมวิวเพลินๆไปเรื่อยๆ แต่ปั่นมาซักครึ่งชั่วโมงแบบเรื่อยๆเอื่อยๆ เอ๊ะ ทำไมมันยังไม่สุด Park อีกฟระ ตอนกลับมาค้น Wikipedia ถึงพบว่า ไอ้คุณ East Coast Park นี่ยาวเกือบ 15 กิโลเมตรครับ คนที่มาออกกำลังกายจะมีทุกรูปแบบเลย มีสนามแบต สนามบาส สนามบีชวอลเลย์ด้วย และที่เจ๋งมากคือ คนที่นี่ออกกำลังกายด้วย Inline Skate เยอะมากๆครับ
ถึงขนาดมีสีเขียนบนถนนว่าเลนตรงนี้เฉพาะของจักรยานและ Skate เลยล่ะ
ปั่นมาได้ซักครึ่ง Park จะเจอทางเดินออกไปกลางทะเล สวยมากๆ พวกเราเลยไปถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกซักหน่อย แต่การจะเข้ามาในพื้นที่นี้ คุณห้ามปั่นเข้ามานะครับ จงเข็นเข้ามา กฏหมายของที่นี่ปรับโหดมากนะครับ ปั่นจักรยานในที่ห้ามปั่น จะโดนปรับประมาณ 500$ ครับ
จาก East Coast Park เรามุ่งหน้าไป Park ต่อไปครับ ซึ่งอย่างที่บอกว่าเดินทางง่ายมาก เพราะ PCN บอกทางอยู่บนพื้นตลอดเวลา
ถัดจาก East Coast Park เราวิ่งทางเรียบ PCN ยาวๆ โดยวิ่งเลียบสนามบิน Changi ไปครับระหว่างที่ปั่นก็มีเครื่องบิน บินขึ้น บินลง เหมือนไปปั่นเลนเขียวที่สุวรรณภูมิเลยแฮะ ทางเลียบสนามบินนี้ยาวประมาณ 10 กิโลเมตรได้ ลมไหลๆเอื่อยๆบวกวิวสวยๆ ทำให้พวกเราทั้งหมดปั่นกันแบบสบายๆชวนหลับมาก
ระหว่างทางก็มีการก่อสร้าง ทำถนน อยู่ประมาณ 3-4 จุดด้วยกัน แต่ด้วยกฏหมายของประเทศสิงค์โปร์อันเข้มงวดทำให้ พื้นที่ก่อสร้างบริเวณนั้น มีกำแพงปิดมิดชิด รั้วกั้นห้ามคนเข้าที่ดูแข็งแรง และเจ้าหน้าที่ที่ช่วยโบกรถ เพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจรครับ
ป่าและต้นไม้ถือว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของที่นี่เลยครับ ผมเห็นว่าทั้งในเมืองและนอกเมือง จะมีรูปแบบของถนน แบบในรูปนี่ครับ คือ ตรงกลางเป็นเลนรถยนต์ประมาณ 2-4 เลน ถัดมาเป็นพื้นที่ของต้นไม้ที่กว้างมากๆ แล้วก็ไม่ได้มีแค่ต้นไม้นะ แต่จะมีหญ้าปลูกยาวตลอดทาง จากนั้นค่อยเป็นพื้นที่ฟุตบาทของคนเดินเท้า .. ไปดูมาหลายประเทศแล้ว ผมว่าประเทศที่ใส่ใจเรื่องของ คน จะทำทางเท้าใหญ่ๆ แล้วไปทำให้การเดินทางสาธารนะ เช่น รถเมล์ รถไฟ ดีมากๆ จนคนไม่ต้องใช้รถยนต์ อย่างที่ สิงค์โปร์ การจะมีรถได้ คุณเจอภาษีและข้อบังคับหนักมาก รวมไปถึงการจะขับรถเข้าไปในบางพื้นที่ ต้องเสียเงินด้วยนะครับ คนที่นี่จึงเดินทางด้วยรถเมล์ รถไฟใต้ดิน จักรยานและการเดินครับ
ปั่นกันจนมาถึง Park ที่ 2 นั่นก็คือ Changi Beach Park เป็นสวนสาธารนะที่อยู่ใกล้ๆกับสนามบิน ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่วิวสวยทีเดียวครับ
ทริปนี้ชิลสุดๆ ปั่นไปแวะถ่ายรูปแบบรัวๆ ท้องฟ้าเริ่มมึด แดดเริ่มหาย คือ ชิลกันจนลืมแผนตอนแรกกันหมดแล้วว่าจะต้องปั่นให้เสร็จไม่เกินเที่ยงคืน!!
เสร็จจาก Changi Beach Park … ไอ้เดชกับเมย์ที่เป็นคนนำทางบอกว่า ครั้งที่แล้วตรูมาแค่นี้แหละ เอาไงต่อดีวะ อ้าวชิปหายล่ะ
เราปั่นกันช่วงเย็นด้วยความชิลมากไป ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด รถเริ่มเยอะ และถนนบางเส้นก็มีรถติดบ้างแล้ว ท่าทางจะไม่ดีแฮะ สงสัยคงต้องเปลี่ยนแผนการปั่นลดความฟรุ้งฟริ้งลง แล้วเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น!!
ผมเริ่มหยิบมือถือเปิด App Mapmyride มา แล้วกดเช็คแผนที่ปั่นไปเรื่อยๆ เราเกาะเส้นทางตามที่คนปั่นก่อนหน้าได้ทำ Route ไว้ไปเรื่อยๆ แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือ เราต้องจอดเช็คกันแทบทุกสี่แยก เพื่อดูว่า เราไปกันถูกทางหรือเปล่า ตอนไหนมีทางยาวก็อัดกันรัวๆ
แต่ก็ไม่วาย เจอตึกสวยๆก็ต้องขอซักรูปล่ะนะ
ตรงช่วงถนน Tampines Road เป็นทางตรงยาวๆลงเนิน พวกเราทุกคนกดกันเต็มเหนี่ยว ซึ่งความพลาดท่ามันบังเกิดตรงนี้แหละตรงที่ ดันปั่นเลยไปเกือบๆ 3 แยกไฟแดง เลยต้องย้อนกลับมาใหม่
เราปั่นกลับไปยังแยกที่เราควรจะเลี้ยว แล้วดราม่าที่สามก็เปิดตัวขึ้น เพราะทางที่เราจะไปมันเป็นสะพานแบบ One Way ครับ … อ้าวแล้วแผนที่ทำไมให้เรามาทางนี้ฟระ ปรากฏว่า ไอ้แผนที่นำทางที่โหลดมาเนี่ย มันปั่นวนซ้าย ตามเข็มนาฬิกาครับ ผมดันปั่นวนขวา ซึ่งก็เลยเพี้ยนตั้งแต่แรกเลยล่ะ แต่สุดท้ายยังไงเราก็เป็นจักรยาน ก็แหลๆ สวนทางไปเลยละกันง่ายดี เพราะข้างๆสะพานรถยนต์ มันมีสะพานให้คนเดินอยู่ด้วย ยกรถข้ามกันนิดหน่อย แล้วก็เข็นข้ามสะพานกันไป
เวลาบนนาฬิกาแจ้งว่าเกือบสามทุ่มแล้ว จอยเริ่มหมดสภาพเพราะหิวข้าว ผมมีติดมันฝรั่งทอดกันมาห่อนึง พวกเราจกกันด้วยความโหยราวกับเป็นซอมบี้ใน Walking Dead .. พอมีพลังจากขนมถุงก็ยังไปต่อกันได้อีกหน่อย แต่จอยบอกว่า ขอแวะร้านข้าวกินกันดีๆนะ เพราะไม่ไหวแล้ว
ประมาณ สามทุ่มครึ่งเราปั่นมาถึงย่าน Ranggung เจอ Hawker เปิด 24 ชั่วโมง ที่ชื่อ Happy Hawker .. คำว่า Hawker แปลว่า คนเร่ขายของ ซึ่งเป็นคำแทนรถเข็นขายอาหารในสิงค์โปร์เมื่อก่อนนั่นเอง ตอนหลังรัฐบาลสิงค์โปร์อยากจะควบคุมเรื่องของคุณภาพอาหารและความสะอาดเลยออกกฏหมายว่าต้องเปิดใน พื้นที่แบบนี้ เลยได้ชื่อ Hawker มา อาหารทีขายใน Hawker ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารพื้นเมือง เช่น Nai Goreng , ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา , ข้าวมันไก่ , น้ำ รวมไปถึง Kaya Toast ของกินขึ้นชื่อของสิงค์โปร์นั่นเอง
เราแวะกินข้าวกันประมาณครึ่งชั่วโมง กำลังวังชา ค่อยเพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่ว่า จอยแฟนผม กับ เมย์แฟนไอ้เดช ชักเริ่มไม่ไหว .. จอยเค้าประเมินว่า นี่ปั่นมาตั้งกะ 4 โมงเย็น ถึงตอนนี้ 4 ทุ่ม พึ่งทำระยะมาได้ 50 กิโลเมตรเอง เค้าประเมินว่าเค้าไม่จบทริปแน่ๆ ปัญหาคือ จะถอนตัวตอนนี้ หรือตอนที่หมดแรงไส้แตกไปแล้วเท่านั้นเอง สู้ถอนตัวตอนนี้ ปั่นตัดเข้ากลางเมืองกลับโรงแรมก่อนดีกว่า ส่วนแฟนไอ้เดช ก็ไม่ไหวเพราะเจ็บเข่าจากการซ้อมวิ่งมา ตอนแรก ทั้งทีมก็กะจะปั่นไปส่งที๋โรงแรมแล้วกลับมาลุยกันต่อ แต่ทีมสาวๆบอกว่า ปั่นไป 10 โลแล้วกลับมาอีก 10 โล พอถึงโรงแรมก็ไม่ได้ปั่นต่อแล้วล่ะ ยกเลิกทริปแหงๆ สุดท้าย สองสาวขอกลับกันเอง โดยที่ ผู้ชายที่เหลือ 4 คนไปกันต่อครับ
เหล่าชายไทยไปกันต่อได้ไม่นาน ดราม่าที่ 5 ก็มาเล่นงานไอ้เบียร์ นั่นก็คือ ตะคริวครับ อาการตะคริวเกิดจากการขาดเกลือแร่ที่กล้ามเนื้อ เพราะเสียน้ำในร่างกายมากไป รวมไปถึงการใช้กล้ามเนื้อในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆจนเกินกำลัง ตะคริวก็จะเริ่มวิ่งมาเปรี๊ยะๆตามแข้งขา กลายเป็นว่า ไอ้เบียร์ตอนนี้ ปั่นได้ แต่ถ้าลงจักรยานกระทันหัน ตะคริวจะมาเยือน !!
ดังนั้นการปั่นจักรยานระยะไกลๆ ควรจิบน้ำบ่อยๆ เพราะเราจะสูญเสียเหงื่อกันโดยไม่รู้ตัวซะเยอะ แล้วก็อย่าฝืนปั่น พักทุกๆ 20-30 กิโลเมตร เพื่อคลายกล้ามเนื้อบ้าง เวลาในภาพคือประมาณ 5 ทุ่มเราพึ่งทำระยะกันได้ 70 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ก็อย่างว่าแหละ ไม่มีคนนำทาง ต้องปั่นๆ จอดๆ ก็งี้ สุดท้าย ผมก็ไปยึดเอาที่จับมือถือจากรถไอ้เดช มาประกอบร่างกับ PowerBank และกระเป๋าหน้ารถ ทำให้เป็น ระบบนำทางจะได้ไม่ต้องปั่นๆจอด … เอาล่ะ เหลือระยะทางอีกครึ่งเดียวเอง ลุยกันต่อ
ระหว่างที่ปั่นแถวๆถนน Kranji ปรากฏว่า เจอกองทัพนักปั่นประจำสิงค์โปร์ฝูงใหญ่มาก เค้ามาปั่นซ้อมกันที่นี่ เพราะว่าถนนนี้เป็นถนนตัดใหม่ รถไม่ค่อยเยอะ แถมถนนกว้างมาก พี่ท่านมาหวดกันใหญ่ ตอนแรกผมก็กะจะหวดตามจะได้ดูดไปกับทีมใหญ่ด้วย แต่คิดดูอีกทีไม่ไปดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าพี่แกจะไปทางไหน บวกกับ ไอ้เบียร์ที่ตะคริวแดกอยู่ตอนนี้ ทำให้ถอนตัวออกมาครับ ฮ่า
ช่วงนี้ผมจะรูปน้อยหน่อย เพราะปั่นกันอย่างเดียว ช่วงที่ผ่านเกาะ Punggol ต้องระวังนิดหน่อย เพราะรถบรรทุกเยอะมาก ที่นี่เหมือนกำลังก่อสร้างโรงงานอะไรกันเพียบเลยครับ โดนสิบล้อวิ่งปาดข้างด้วยความเร็วสูงบ่อยเหมือนกัน เที่ยงคืนกว่าๆ พวกเรามาถึงบริเวณที่เรียกว่า Lim Chu Kang … เป็นเขาเตี้ยๆที่ต้องปีนขึ้นมากันอย่างเหนื่อย แถมบรรยากาศแถวนี้ น่าตายมากๆ ป่าล้อมรอบซ้ายขวา มีไฟถนนสลัวๆ แล้วก็มีกลิ่นอะไรแปลกๆ เหม็นๆ ลอยมาตลอดทาง ผมกับไอ้เดชเดากันว่า น่าจะมีฟาร์มปศุสัตว์แถวนี้ล่ะมั้ง
เป็นถนนที่โคตรวังเวง ไม่มีแม้แต่หมาซักตัว รถก็ไม่วิ่งผ่าน บ้านคนก็ไม่เห็น เป็นช่วงที่ปั่นแล้วรู้สึกสยองพองขนที่สุดเลยครับ แล้วดันเจือกเป็นภูเขาอีกนะ จะซิ่งๆให้ผ่านไปเร็วๆเลยก็ไม่ได้ แถมตะคริวที่แดกไอ้เบียร์อยู่ทำให้มันปั่นเร็วไม่ได้อีกยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเข้าไปอีก ตอนหลังเพื่อนที่มาทำงานที่สิงค์โปร์บอกว่า ไอ้ห่า ตรงนั้นเขาเป็นสุสานเว้ยยยย จากที่ผมเช็คในแผนที่ ผมปั่นผ่านสุสานตั้งสองแห่งโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ โอยยย น่ากลัวชิปเป๋ง
เราลงจาก Lim Chu Kang เข้ามาในเมืองหน่อย เข้ามาในเขต Jurong .. เป็นโซนอุตสาหกรรมตรงด้านตะวันตกของเกาะสิงค์โปร์ครับ คือปั่นมานานมาก กว่าจะหลุดพ้นจากป่าเขามาได้ ทันทีที่เห็นแสงไฟ ทั้งไอ้เบียร์ ไอ้ต้อง ร้องลั่นว่า “เมืองงงงงง” แล้วก็วิ่งหา 7-11 กันเพื่อเติมพลัง
เวลาปั่นจักรยานระยะไกล สิ่งสำคัญมากคือต้องมีน้ำและของกินให้เพียงพอ ไม่อย่างงั้นเวลาพลังงานหมด เราจะร่วงแบบปั่นไม่ออกเลยครับการปั่นในเมืองแบบนี้มีข้อดีคือหา 7-11 เพื่อเติมน้ำได้ไม่ยาก แต่การกระดกน้ำเปล่า ขวดละ 2$ SGD หรือประมาณ 50 บาทเนี่ย มันช่างเป็นกิจกรรมปั่นระยะไกลที่แพงเสียจริง ผมคิดคร่าวๆกับเพื่อน ค่าน้ำเปล่าของพวกเรา 4 คนน่าจะเกือบๆ พันกว่าบาทในคืนเดียว ฮ่าๆ
ช่วงที่ปั่นผ่านเขต Jurong .. พวกเราได้ผ่านโรงงานของ Exxon Mobil ที่โคตรหย่ายยยยยมาก ตอนกลางคืนเปิดไฟสว่างอลังการ์สุดๆ มองเข้าไปนี่อย่างกะเตา Mako Reactor ใน Final Fantasy 7 เลยครับพอดีช่วงนั้นปั่นผ่านเร็วมากเลยแทบไม่ได้เก็บรูปเอาไว้เลย เสียดายเหมือนกันนะเนี่ย
พอผ่าน 100 กิโลเมตรแรกมาได้ ทุกคนเริ่มมีกำลังใจอีกครั้ง เรามากันเกิน 80% ของทริปแล้ว แต่ปัญหาที่สองก็คือ นอกจากตะคริวกินไอ้เบียร์แล้ว ไอ้ต้องยังโดนอีกคน งานนี้เจอตะคริวสองคน ความเร็วหล่นวูบลงไปอีกครับ
ทุกคนเริ่มหมดสภาพ จริงๆ ผมยังค่อนข้างโอเคอยู่เสียอย่างเดียวคือเริ่มง่วงแล้ว เพราะตอนนี้เวลาประมาณตีสองครึ่งแล้ว ผมก็ตื่นเช้ามาก แถมเดินทางมาสิงค์โปร์ตรงเลย แทบไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ ไอ้เดช ผู้ผ่านศึก Audax 200 โลมาแล้ว ก็เริ่มเป๋ เพราะว่า นอนน้อยมากก่อนมาปั่น เบียร์กับต้องไม่ต้องพูดถึง มาถึงจุดนี้ได้มันใจล้วนๆจริงๆแฮะ
สุดท้าย หลังจากที่ปั่นๆหยุดๆ กันมานานมาก ไอ้ต้องกับเบียร์ก็บอกผมกับไอ้เดชว่า ไปกันล่วงหน้าก่อนได้เลย เดี๋ยวพวกมันจะค่อยๆกระดิ๊บกลับโรงแรมเอง เพราะยังไงเราก็พักกันคนละที่ ผมกับไอ้เดชก็เปิดโหมด Sprint เต็มที่ เพราะเหลือระยะทางอีกแค่ประมาณ 20 กิโลเมตรสุดท้ายเท่านั้น ผมเปิด GPS จาก Google Map ตั้งตรงเข้าโรงแรม ซึ่งมันดันพาเข้า Highway ด้วย โชคดีที่รถยังน้อยอยู่ เลยรีบๆ ปั่นเข้าไปเพื่อตัดระยะนิดหน่อยแล้วก็ออกมา ช่วงสี่แยกไฟแดงสุดท้ายตอนตี 4 ผมกับไอ้เดชที่ตอนนี้เป๋ไปเป๋มา เพราะนอนไม่พอ ผมบอกกับมันว่า สำเร็จซักที คงไม่มาซ้ำอีกแล้วนะ ฮ่าๆ
สุดท้ายผมเสร็จภารกิจตอนประมาณ ตี 4 .. รวมเวลาในการปั่นทั้งหมด 12 ชั่งโมง ใช้เวลาปั่นจริงๆประมาณ 6 ชั่วโมง 51 นาที นั่นแปลว่าเราพักกันกว่า 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งก็จริงนะ ช่วงแรกที่เริ่มปั่น พวกเราชิลถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่น แถมช่วงท้ายก็พักเกือบๆทุก 4-5 กิโลเมตรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ระยะทาง 135 กิโลเมตรที่ผมมาปั่นรอบเกาะนี้ก็มันส์สุดยอดจริงๆครับ
https://www.youtube.com/watch?v=yhbN3ANwbOU&feature=share
ปิดท้ายด้วยวีดีโอที่ไอ้เบียร์ทำจาก GoPro มาครับ มันส์ดีจริงๆ
สรุปการปั่นทริป Singapore
- ถ้าจะชมวิว ก็เลือกปั่นชมวิวมาเหอะ แต่ถ้าจะทรมานบันเทิงแบบผมก็ปั่นไปชมวิวไปก็ได้ครับ
- ยางสำรอง ที่สูบลมเอาไปให้พร้อม เพราะเราเอาไปเนี่ยแหละ ยางมันถึงไม่แตก เครื่องรางชัดๆ ฮ่าๆ
- น้ำแพงมาก แต่ก็ต้องซื้อกินอยู่ดี อย่าไปเขียม เพราะคุณคงไม่อยากไปหมด ตรงแถวสุสานใช่ไหมครับ
- สุดท้ายต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน แต่ใจเท่านั้นที่พาคุณไปยังจุดหมาย
- รถยนต์ในสิงค์โปร์ขับค่อนข้างเกรงใจจักรยานครับ
- แต่รถสิบล้อนี่โหดสลัสเลย วิ่งผ่านกันเร็วมาก
- หมาจรจัดที่สิงค์โปร์แทบไม่มีเลยปั่นรอบเกาะ ยังเจอแค่ 2-3 ตัวแถวสุสานเท่านั้น
ขอบคุณที่ติดตามครับ สำหรับทริปหน้าเล็งไว้แล้ว ว่าจะไปไต้หวัน กับ Sun Moon Lake หรือทะเลสาปสุริยันจันทรา รวมไปถึงจะไปร่วมงาน Taipei Cycle Show ด้วย รออ่านละกันนะครับ