สำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ ถ้าเกิดคุณได้มีโอกาสอัพเกรดตัวเองจากการใช้ Shared Host แบบธรรมดา ไปสู่การวางเครื่องเองตามศูนย์ Data Center .. ก็ถือว่าเป็นความน่าตื่นเต้นอย่างมาก ที่จะได้เข้าไปสัมผัสห้อง Internet Data Center ของประเทศไทยที่มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน วันนี้มาแนะนำ CAT Data Center แห่งใหม่ที่เปิดขึ้นที่จังหวัดนนทบุรีให้ชมกันครับ เป็นศูนย์ Data Center ที่ทรงพลังด้วยเครือข่ายความเร็วสูงระดับ 100G เลยล่ะ
เล่าถึงประสบการณ์การวาง Server ของผมที่ทำมาหลายปีซักกะหน่อย.. ช่วงแรกสมัยที่ผมทำเว็บเมื่อประมาณปี 1997 .. ตอนนั้นทำเว็บบอร์ดกับเว็บข่าวเฉยๆนี่แหละครับ เป็นเด็กอ่อนด๋อยในวงการ Hosting เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของการวางระบบ Server พวกนี้เลย เว็บแรกก็เป็นเว็บที่ไปเช่า Host ต่างประเทศเอาด้วยความแพงขั้นสุดยอดตกเดือนละ 3,500 บาท ได้พื้นที่ประมาณ 30MB เท่านั้นเอง แถมรัน CGI ได้นิดๆหน่อยๆ โชคดีที่เว็บได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกมาโดยตลอดเลยสามารถรอดต่อค่าใช้จ่ายมหาโหดขนานนั้นอยู่ได้
ซึ่งหลังจากที่จ่ายค่าเว็บแพงมหาโหดขนาดนั้นอยู่หลายปี ก็นึกขึ้นได้ว่า ถ้าราคามันจะโหดกระชากใจขนาดนี้ เราลองวางเครื่อง Server เองดีไหมนะ??? ค่าใช้จ่ายมันน่าจะพอสูสีกัน บวกกับ การย้ายเว็บกลับมาประเทศไทยน่าจะทำให้คนเข้าเว็บเราเร็วกว่าเดิม เพราะค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เสียไปเนี่ย มาจากค่า Bandwidth ที่คนเข้าจากต่างประเทศ (ซึ่งก็คือประเทศไทย) ไปยัง Server ที่อเมริกาทั้งน้านนนนนน แถมถ้าเราทำ Server วางระบบเอง เราเอาพื้นที่ไปขายคนอื่นก็ได้ เผลออาจจะกำไรเละเทะ
ช่วงนั้นก็เลยระดมตังค์กับเพื่อนครับ เอาคอมประกอบมาหนึ่งเครื่องลง Windows Server 2003 + IIS + MySQL ทำเว็บ Webserver แล้วก็ทำระบบ Shared Host บน Windows Server (แน่นอนว่าสมัยนั้นผมยังเป็นมนุษย์สายเถื่อนอยู่เลย จะไปมีตังค์ซื้อ License Windows ได้ยังไงก๊านนน)
และจากนั้นวิบากกรรมก็เริ่มต้นขึ้นครับ
ความบรรลัยที่หนึ่ง
ไอ้การเอา Server ไปวางระบบที่ห้อง Data Center เนี่ย เค้าเรียกกันว่าการวางแบบ Server Co-Location .. เหมือนเราไปเช่าพื้นที่ส่วนหนึ่งจากห้อง Data Center เพื่อมาวาง Server ของเราเอง ข้อดีก็คือ ความเร็วในการเชื่อมต่อสูงมากๆ , ห้อง Server มีการควบคุมอุณหภูมิอย่างดี แถมป้องกันใครก็ได้มาวุ่นวายกับ Server เรา แหม อ่าน Spec Sheet ไปก็เคลิ้มไป เพราะว่าส่วนตัวผมทำงานด้าน Network อยากจะหาเรื่องเข้าไปสนุกกับพื้นที่ ที่มีอุปกรณ์ Network เยอะๆอยู่แล้ว
อย่างแรกเลย ด้วยความอ่อนด้วยทั้งงบประมาณและความรู้ในสมัยนั้น เลยไม่รู้ว่า Server เวลาจะเอาเข้าไปวางเนี่ย มันจะต้องวางใน Rack Network เพื่อประหยัดพื้นที่ ผมดันหิ้ว Desktop ที่ทำเป็น Server เข้าไป ก็บรรลัยสิครับ ยัดตู้ไม่ได้ ยังดีทาง Data Center (ที่ไม่ขอเอ่ยนาม) ในตอนนั้นมีชั้นวาง ก็วางๆกันไปก่อน แต่ค่าใช้จ่ายที่ประเมินกันไว้ตอนแรกจะต้องแพงขึ้นอีกสามเท่า เพราะเราไปใช้พื้นที่เค้าเยอะเกิน จะหาเงินมาซื้อ Rack Server ก็ไม่มีแล้ว ก็ต้องน้ำตาไหล วางเครื่อง Desktop กันไป
ความบรรลัยที่สอง
ก็ไม่ได้อยากจะเรียกว่า Data Center ยี่ห้อนั้นไม่ดีนะครับ แต่เนื่องด้วยมันไปวางอยู่บนชั้น แบบเบียดเสียดกับ Server คนอื่นที่เป็น Desktop Server เหมือนกัน (อื้มมม มีคนที่ไม่รู้เหมือนเราเยอะเลยแฮะ) มันก็เลยกลายเป็นฝูง Desktop Server จำนวนมหาศาลบนชั้นวางที่ไม่ได้จัดเรียงสาย LAN / สายไฟ ให้มันดีๆ วันดีคืนดี อยู่ดี Server ผมดับ เพราะว่าเจ้าของเครื่องคนอื่นเอื้อมไปด้านหลังชั้นแล้วทำสายไฟหลุด เตะปลั๊กดับ และอีกสารพัดปัญหาที่ผมรู้สึกเพลียจิตมากๆ
ความบรรลัยที่สาม
Network Switch ห่วยๆ …. ทำให้ประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลช้ามากๆ …. เวลาเราไปใช้บริการ Data Center .. เนี่ย เราก็คาดหวังว่า เค้าจะเอาอุปกรณ์ Network ดีๆ มีระบบ Management มาใช้กับเครื่องของเรา ใช่ไหมครับ .. แต่ปรากฏว่ามีวันนึง ผมเดินไล่สาย LAN กลับไปยัง Network Swich เพื่อที่จะเปลี่ยนสาย LAN ให้เป็นเส้นใหม่ แต่ปรากฏว่าเจ้า Network Switch ตัวนั้น กลับเป็น ของบ้านๆ ราคาตัวละพันกว่าบาท ห้อยต่องแต่งแบบไม่มีการจัดการใดๆทั้งสิ้น เรียกได้ว่าถ้าใครสะกิดร่วงลงมาก็พังกันทั้งแถบ
ความบรรลัยที่สี่
เนื่องด้วย Server มีปัญหาดาวน์บ่อย จากไอ้ข้างบนที่กล่าวมา ผมเลยต้องโทรบอก Network Admin ที่ประจำอยู่ที่ Data Center ให้ช่วยไปดูอาการ หรือ Reset เครื่องให้หน่อย บ่อยมากๆ และปัญหาที่เจอประจำก็คือ Network Admin มันไม่อยู่!!!
โทรไปบางทีออกไปกินข้าว กลับบ้านไปแล้ว นั่งมอไซค์อยู่ รอแปบนะ อะไรแบบนี้ และเมื่อผ่านวิบากกรรมความบรรลัย 4 อย่างนั่นมา ทำให้ผมรู้สึกว่า งานนี้ต้องย้าย ต้องย้ายเท่านั้นว้อยยยยยย นี่ยังไม่นับ ช่วงที่ Bittorrent ระบาดใหม่ๆในบ้านเรา คนเอา Server มาทำเป็น Bit Colo กันเป็นแถว ถล่ม Bandwidth กันจนไม่เหลือ เว็บของผมและลูกค้าเข้าไม่ได้
หลังจากนั้นก็เปลี่ยน Server จาก Desktop Server ให้กลายเป็น Rack Server แล้วก็ลองมองหา Data Center ที่มีคุณภาพที่ดีๆหน่อย ที่เก่า น้ำตาจะไหล ไม่กล้ากลับไปแล้ว ก็เลยได้มาลอง CAT Data Center ครับ ผมได้ลอง CAT Data Center ครั้งแรกเมื่อเกือบสิบปีก่อน ซึ่งก็วาง Dell Server ตัวนึงที่ตึก CAT บางรัก หรือที่มีชื่อเต็มว่า อาคาร กสท.โทรคมนาคม (ไปรษณีย์กลาง บางรัก) ซึ่งยังคงใช้บริการอยู่จนถึงทุกวันนี้
สรุปแล้ว หากคุณจะเลือก Data Center ซักที่นึงเพื่อหนีความบรรลัยทั้ง 4 อย่างที่ผมได้กล่าวมา รบกวนดู Requirement ต่อไปนี้นะครับ
- ศึกษาเรื่องการนำ Server ของตัวเองก่อนไปวางใน Data Center ไม่งั้นจะช้ำแบบผม เช่น Server เป็นแบบ Rack หรือ Desktop , ต้องการความเร็วแค่ 100 mbps หรือ 1,000 mbps , อยากจะได้ Firewall ช่วย Block ไหม , ต้องการ IP จริงเท่าไหร่ อะไรแบบนี้เป็นต้นจะได้ไม่เป๋อเร๋อ เหมือนตอนที่ผมเอาเครื่องแรกไปวางเมื่อสิบปีก่อน ฮ่า
- เลือก Data Center ที่ทาง Engineer เรียงสาย LAN อย่างเป็นระเบียบ มิฉะนั้นจะเหมือนผมนะครับ บางทีเครื่องไม่ได้เป็นอะไร แต่ Down เพราะคนอื่นมาสะดุดสายเราซะงั้น
- ถามทาง Sales ของ Data Center ซักหน่อยก็ดีว่า Rack ที่คุณจะไปเช่า เค้าใช้ Switch อะไร ถ้ามาเป็นพวก Desktop Switch ง่อยๆ ก็ล่ะ ย้ายหนีให้ไกลเลยนะครับ
- ปิดท้ายด้วย การลองโทรเข้าไปยัง Call Center หรือ Mail ไปถาม Support ของ Data Center เจ้านั้นดึกๆ ดูซักอาทิตย์นึง เพื่อทดสอบว่า มีคนอยู่เฝ้าไม่ใช่เปิด Bot หลับทั้งคืนนะครับ
โดยรวมแล้ว ผมที่ใช้ CAT มาเกือบสิบปี น้ำตาไหลพรากๆ ว่าตรูไปทนทรมาณกับ Data Center ห่วยๆอะไรอยู่ได้ตั้งนาน เพราะตั้งกะผมตั้ง Server ที่นี่ …
เวลามีปัญหา บางที เจ้าหน้าที่โทรมาบอกเราก่อนที่ระบบ Monitor ที่ผมทำเองจะเตือนซะอีก
เครื่องข้างๆมีคนโดน Malware แล้วยิง Packet ออกมาโจมตี ทาง CAT ก็มี Firewall ช่วย Block ให้
เครื่องโน้นปล่อย Bit Colo จนกระเทือนเน็ตเวิร์ต ก็โดนบีบ Bandwidth ลงจนทุกคนไม่มีปัญหา
โทรไปตี 2 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ Reset เครื่องให้ก็มีเจ้าหน้าที่รับสายตลอด
สำหรับคนอื่นที่สนใจอยากจะลองวาง Server Co-location ที่ CAT Data Center บ้าง ลองไปดูรายละเอียดที่นี่ได้เลยนะครับ http://www.Data Center.cattelecom.com/th/home