เมื่อกล่าวถึง New York .. หลายๆคนอาจจะนึกถึงเทพีเสรีภาพ / นึกถึงฉากรักในหนังสวยๆ / นึกถึงเมืองที่โดนก็อตซิลล่าบุกถล่ม แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนในวงการศิลปะล่ะก็ คุณอาจจะไม่รู้ว่า New York คือเมืองระดับหัวแถวที่ศิลปินมาแจ้งเกิดที่นี่กันเยอะมากๆ และการได้รับการเปิดตัวที่นี่ หมายถึงใบเบิกทางระดับโลกสู่วงการศิลปะเลยล่ะครับ
เรื่องของเรื่องก็คือ ผมได้รับเชิญจากทาง สิงห์ปาร์ค เชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่เป็นกิจการด้าน Social Enterprise ของทางสิงห์ ในการร่วมเดินทางไปยัง New York ช่วงวันที่ 25 – 31 พฤษภาคม 2016 ที่ผ่านมา ในฐานะของ Blogger ร่วมเก็บข้อมูลการเปิดตัวผลงานของคนไทยเป็นครั้งแรกใน Art Gallery ระดับโลกอย่าง Agora Art Gallery ครับ ซึ่ง Blog ในชุดนี้ผมขอเรียกว่าเป็น New York Trip Series ละกันนะครับ เพราะนอกจากจะบอกเล่าเรื่องของ Event การเปิดตัวงานศิลปะของคนไทยอย่างยิ่งใหญ่ใน New York แล้ว ยังมีเรื่องราวทางเทคโนโลยีมันส์ๆ อีกหลายอย่างที่ไปเจอมาใน New York ด้วยครับ
เอาเป็นว่ามาทำความรู้จัก ศิลปินที่ได้มาเปิดตัวในงานนี้กันก่อน “พี่บรรเจิด เหล็กคง” ครับ…
พี่บรรเจิด เป็นคนอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาครับ ที่บ้านทำกิจการอู่ซ่อมรถ ตอนเด็กๆ พี่บรรเจิดเลยได้คลุกคลีกับอุปกรณ์ซ่อมรถ และกองเหล็กจำนวนมหาศาล เห็นว่าพี่แกเชื่อมเหล็กเป็นตั้งกะอยู่ ป.2 (เชรดดดด ตอน ป.2 เนี่ย ความสามารถพิเศษของผมยังมีแค่เขี่ยสติ๊กเกอร์กับขี่จักรยานอยู่เลย) หลังจากที่จบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมจาก มหาวิทยาลัยราชมงคล นครราชสีมาก็กลับมารับช่วงกิจการของที่บ้าน ทีนี้ พี่บรรเจิดแกหลงใหลเรื่องของศิลปะที่มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยค่อยๆสร้างงานของตัวเองจากเหล็กขึ้นมา รูปแบบงานของพี่บรรเจิดจะเป็นงานเหล็กที่คนคิดว่าแข็ง ทื่อ แต่จะถูกตัด ดัด บิดให้มันอ่อนช้อย โดยที่จะอ้างอิงกับต้นแบบวรรณคดีรามเกียรติ์ กับงานที่เป็นต้นแบบของตัวเอง โดยตั้งชื่อผลงานของแกตามนามสกุลของตัวเองว่า “เหล็กคง” หลังจากที่พยายามสร้างสรรผลงานของตัวเองกว่า 13 ปี ในที่สุด มีคนดูถูกก็เยอะ แต่พี่บรรเจิดก็ไม่ยอมแพ้ แกก็ทำงานของแกต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมให้เสียงดูถูกของคนอื่นมาหยุดงานที่แกทำ จนสุดท้ายงานของพี่บรรเจิดก็ได้รับการยอมรับ ให้ไปจัดแสดงผลงานแบบ Solo Exhibition ที่ Agora Art Gallery เมืองนิวยอร์คครับ
ทำความรู้จัก Agora Gallery
Agora Gallery ก่อตั้งขึ้นโดยศิลปินชื่อดัง Miki Stiles เมื่อปี 1984 หรือกว่า 25 ปีมาแล้ว จุดประสงค์ในการก่อตั้งขึ้นมาก็เพื่อเปิดโอกาสให้กับศิลปินที่มีพรสวรรค์ได้มีสถานที่ในการโชว์ผลงานของตัวเองให้โลกได้รับรู้ และมีโอกาสได้รับการโปรโมทไปยัง Gallery ระดับโลกอื่นๆ อีกด้วย สถานที่ตั้งของ Agora Gallery อยู่ที่ย่าน Chelsea ในเมืองนิวยอร์ค ซึ่งย่านนี้เป็นที่ตั้งของ Art Gallery ชื่อดังๆอีกหลายแห่ง ยิ่งไปกว่านั้นการได้มาแสดงผลงานที่ Agora Gallery เปรียบเสมือนใบเบิกทางเข้าสู่การเป็นศิลปินระดับโลก ที่นอกเหนือจะได้โชว์ผลงานแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการขายผลงานของตนเองให้กับคนที่สนใจอีกด้วย
Metamorphosis : Banjerd Lekkong / a Solo Exhibition
ผลงานของพี่บรรเจิดทั้งหมดจะได้รับการจัดแสดงที่ Agora Gallery ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2016 นี้ครับ โดยใช้ชื่อว่า Metamorphosis อยากเชิญชาวไทยที่อยู่ใน New York ไปเยี่ยมชมกันได้นะครับ
ซึ่งในวันที่ 26 ทาง Agora ก็จัดงานต้อนรับ และเชิญสื่อสายศิลปะจากทางฝั่งอเมริกาเข้ามาชมผลงานครับ ทีม Blogger + สื่อไทย ก็มาเก็บภาพบรรยากาศในวันเดียวกันด้วย มีชาวต่างชาติจำนวนมากให้ความสนใจเยอะเป็นพิเศษเลยทีเดียว
ซึ่งพี่บรรเจิด ก็ได้อธิบายเรื่องของแรงบัลดาลใจในการสร้างชิ้นงานผ่านล่ามครับ ผมฟังเวอร์ชั่นที่ล่ามแปลก็ครบถ้วนสมบูรณ์เลยทีเดียว
หนุมาน
ชิ้นแรกคือ หนุมาน ครับ ขนาดเท่าคนจริง ยืนต้อนรับอยู่หน้าทางเข้า Gallery เลย
ฟูมฟักให้ชีวิต
ชิ้นนี้ชื่อว่า An Owl give a life แปลเป็นไทยก็คือ ฟูมฟักให้ชีวิต เป็นรูปครอบครัวนกฮูก 3 ตัวซึ่ง พี่บรรเจิดทำขึ้นมาเพื่อช่วยครอบครัวของเพื่อนที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยสื่อเป็นนกฮูกพ่อแม่ลูกช่วยการฟูมฟักจนฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน
ต่างกาล ต่างวาระ
ผลงานชิ้นนี้ เป็นชิ้นที่ผมชอบมากครับ ชื่อว่า Different Time, Different Period แปลเป็นไทยว่า ต่างกาล ต่างวาระ เป็นนกฮูกขย้ำพระจันทร์ กับ นกอินทรี ขย้ำพระอาทิตย์ หมายถึง ไม่มีใครที่เก่งเสมอไป ต่างต้องมีกาลเวลาที่ตัวเองจะได้สำแดงเดชออกมา เหมือนนกทั้งสองตัวที่ต่างเป็นเจ้าเวลากันคนละเวลานั่นเองครับ
เศียรพระพิฆเนตร
อันนี้เป็นเรื่องที่รู้กันว่า ใครที่ทำงานในวงการศิลปะ จะต้องเคารพพระพิฆเนตร เทพแห่งวงการศิลปะ ซึ่งพี่บรรเจิดอยากสร้างเศียรครูบาอาจารย์อย่างมีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง โดยใช้โลหะขึ้นรูปแต่ดัดให้มีความอ่อนช้อยครับ
หนุมานหาวเป็นดาวเดือน
อันนี้ก็คือผลงานที่อ้างอิงมาจากวรรณกรรมที่ว่ากันว่า หนุมานนั้นมีความสามารถหาวออกมาเป็นดาว เป็นเดือนได้นั่นเองครับ
หนุมานสู้รบกับวิรุณจำปัง
ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบัลดาลใจมากจากการที่ได้ไปดูการแสดงโขนเรื่องศึกวิรุณจำปัง ณ โรงละครแห่งชาติ ซึ่งมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีร่วมทรงดนตรีอยู่ด้วย พี่บรรเจิดจึงเกิดความประทับใจและอยากที่จะสร้างผลงานนี้ขึ้นมาครับ
หนุมานไทยหยอกเย้าหนุมานบาหลี
ผลงานชิ้นนี้ คือหนุมานจากเรื่องรามเกียรติ์เหมือนกัน แต่มาจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนั่นก็คือ ไทย กับ บาหลี เพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้จะมาต่างที่มา ต่างความเชื่อ ต่างเชื้อชาติ หรือ ต่างภาษา แต่สามารถกลายเป็นผลงานศิลปะชั้นหนึ่งได้
ทศกัณฐ์นั่งเจรจา
ชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ไปเห็นจิตรกรรมฝาหนังที่วัดพระแก้ว และบังเอิญสะดุดตากับอิริยาบถท่านั่งของทศกัณฐ์ ก็เลยกลายเป็นผลงานชิ้นนี้นั่นเองครับ
องค์พระพิฆเนศ 16 กร
เป็นองค์พระพิฆเนศมี 16 กร พร้อมอาวุธครบมือ ซึ่งสื่อถึงชัยชนะ
ปู่ฤาษีนารอท
เป็นอีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่พี่บรรเจิดเคารพนับถือ จึงต้องการถ่ายทอดออกมาเป็นชิ้นงานที่อ่อนช้อย แต่น่าเกรงขาม
11 พญาวานรต่อกายเป็นช้างสามเศียร
พี่บรรเจิดทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมมา เพราะว่าในปัจจุบันบ้านเมืองมีความแตกแยกต่างความคิด เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก จนขาดความสามัคคีกัน แต่ยังมีความหวังว่าจะมีผู้เข้มแข็งดั่งวานรที่จะรวมตัวกันสร้างความยิ่งใหญ่ เปรียบดังช้างสามเศียรที่จะพาประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้อง โอ้โห คม!!!
ถึงแม้ว่าผมจะเป็น Blogger สาย Technology ซึ่งโดยส่วนตัวแทบไม่ได้มีความรู้วงการศิลปะมากเท่าไหร่ แต่การได้มาชมผลงานของพี่บรรเจิด ได้กินข้าวด้วยกัน พูดคุย และฟังพี่บรรเจิดแกเล่าถึงอุปสรรคและความลำบากมากมายที่แกต้องทนรับฟังมาถึง 13 ปีเต็มกว่าจะได้รับการยอมรับให้มาโชว์ผลงานระดับโลกได้เนี่ย สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับจากพี่บรรเจิดมาเต็มๆ น่าจะเป็นเรื่องความไม่ยอมแพ้ต่อความฝัน และไม่ยอมหยุดไม่ว่าใครจะมาพูดทำให้เราเสียกำลังใจซักเท่าไหร่ ผมเองก็กำลังปลุกปั้นบริษัท Network ของตัวเองอยู่ มีบางครั้งที่รู้สึกเฟลกับงานหลายๆครั้ง พอเอาไปเทียบกับปัญหาของพี่แก ของผมนี่ดูกระจอกไปเลยครับ งานนี้เรียกว่า ถึงแม้ว่าผมจะไม่เข้าใจศิลป แต่ผมได้รับพลังจากชิ้นงานของพี่แกมาเต็มๆเลยล่ะ
และแน่นอน การมาโชว์ผลงานของคนไทยในสถานที่ระดับโลกแบบนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก สิงห์ปาร์คเชียงราย ซึ่งสนับสนุนทุกอย่าง ตั้งกะ ค่าใช้จ่ายในการขนผลงานมายังสหรัฐอเมริกา ค่าพื้นที่ในการจัดนิทรรศการที่ Agora Gallery รวมไปถึงการพาสื่อจำนวนมากเพื่อมาทำข่าว และเก็บข้อมูลการมาโชว์ผลงานในครั้งนี้ ซึ่งทาง สิงห์ปาร์คเชียงราย คือ บริษัทที่ทำด้าน Social Enterprise ของทางสิงห์ เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นมาโดยทำงานร่วมกับคนในพื้นที่ เพื่อปลูก ชา ผลไม้ ดอกไม้ และพืชอื่นๆ มากมายเพื่อหาทางสร้างประโยชน์คืนกลับสังคมให้ได้มากที่สุดครับ ใครสนใจดูกิจการ Social Enterprise ของทางสิงห์ปาร์คก็อ่านที่นี่ได้เลยครับ
และในปีหน้าทาง สิงห์ปาร์คเชียงราย ก็จะสนับสนุนศิลปินไทย มาเปิดตัวใน Gallery ระดับโลกแบบนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ สำหรับคนที่ทำงานด้านศิลปะ ไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยนะครับ http://