จริงๆ เคสมือถือของ Mous เป็นโครงการ Kickstarter มาตั้งแต่ประมาณต้นปี 2017 .. ด้วยการโชว์ความเก๋าว่าเป็นเคสมือถือที่ผ่านการทดสอบมหาโหด ด้วยการโยนแบบต่างๆจากที่โคตรสูง ลงใส่พื้นสารพัดแบบ ซึ่งท่าไม้ตายที่ใช้โชว์ให้ชาวโลกรู้ถึงความเทพนั่นก็คือ การ Drop test จากเครนที่สูงถึง 45 ฟุต หรือประมาณ 15 เมตร ถ้าเป็นบ้านก็ประมาณ 5-6 ชั้นล่ะครับ
ผมเองก็ใช้เคส Mous มาตั้งแต่รุ่น iPhone7 plus แล้ว ตอนแรกที่เห็นก็อยากลองเหมือนกัน แต่ไปกดซื้อตอน Kickstarter ไม่ทัน เลยสั่งซื้อมาจากร้าน https://www.facebook.com/brightkgadget ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (คือ ไอ้ของแบบนี้เวลาดัง มันน่ากลัวตรงที่มีคนก็อปเยอะมากๆครับ ดูอย่างกระเป๋า Bobby ที่มีคน Back กันใน Kickstarter กันตูมตาม ยังโดนก็อปกันสารพัดเวอร์ชั่นเลย)
ทีนี้พอ Mous เปิดตัวเคสของ iPhone X ผมก็เลยสอบถามไปที่ร้าน Bright K Gadget ว่ามีของเข้ามาบ้างยัง เจ้าของร้านแกก็บอกว่า รีบๆตัดสินใจนะ เพราะของหมดเร็วมาก โอ๊ย โคตรกดดัน เพราะผมเลือกไม่ถูกระหว่าง ตัว Aramid Carbon Fiber กับ ตัวไม้วอลนัทแท้ อ๊ากกกก ช่างแม่ง เอามันมาสองอันเลยก็ได้วะ
ซึ่งส่งไวเหรี้ยๆ … วันเดียวได้ เจ้าของร้านบอกว่า เร็วสุดชั่วโมงนึงก็ได้ ถ้าแกว่างจัดคิวส่งเอง โอเคล่ะ ได้ของมาแล้ว ก็ได้เวลาแกะกล่องมารีวิวกันหน่อยละกัน
สุดท้ายก็สั่งมาสองอันเลยครับ เคสไม้วอลนัท กับ เคสที่เป็น คาร์บอนไฟเบอร์ เท่ทั้งคู่ ยิ่งคาร์บอนไฟเบอร์นี่ขายดีอันดับหนึ่งเลย (แต่ส่วนตัว ผมชอบเคสไม้วอลนัทมากกว่านะ)
จุดเด่นของเคส Mous ที่เป็นที่เลื่องลือน่าจะเป็นโฆษณาที่เกิดจากวีดีโอตัวนี้ครับ เป็นวีดีโอที่ยังคงใช้อยู่ตั้งแต่ช่วงที่เปิดตัว Kickstarter Project แค่ฉากเปิดตัวก็ทำเอาผมวู่วามอยากซื้อมาลองแล้ว เพราะมันโยน iPhone ลงมาจากเครนที่สูงประมาณตึก 5 ชั้น แล้ว iPhone ไม่เป็นอะไร
ทาง Mous แกก็บอกว่า จุดเด่นของเคส Mous Limitless เนี่ย มันอยู่ที่โครงสร้าง Airoshock ที่ทำจากโพลีเมอร์ขึ้นรูปเป็นเหมือนฟองอากาศเป็นพันๆฟองกลายเป็นโครงสร้างรับแรงกระแทก เวลาที่ทำหล่น หรือ ไปชนอะไรเข้ามันจะรับแล้วสลายแรงไปเกือบหมดเลย ซึ่งจะครอบอยู่ทั่วตัวเครื่องครับ (ไม่แน่ใจตรงฝาหลัง นะครับ เพราะตรงฝาหลังมันจะเป็นสีดำเพราะโครงสร้าง TPU ที่หล่อขึ้นมาเป็นตัวเคส อาจจะมี Airoshock อยู่ใต้นั้นอีกทีก็ได้
ตรงฝาด้านหลังรุ่นของ iPhone 8 และ iPhone X จะมีวงกลมๆ 4 วง เพื่อให้สามารถชาร์จไร้สายได้ครับ
สำหรับความหนา จะเห็นว่า มันหนาไม่เท่ากัน โดยที่ตัวเคสจะออกแบบมาให้พอดีจอในช่วงตรงกลางเครื่อง และ หนาขึ้นตรงหัวและท้าย ดังนั้นเวลาวางเครื่องคว่ำหน้า จอจะไม่แตะพื้นครับ และเป็นการทำโครงสร้างกันกระแทกโดยที่ไม่ต้องทำให้เครื่องหนาทั้งเครื่องด้วย แถมยังลดน้ำหนักได้อีกหน่อย ตาม Spec ที่ทาง Mous บอกว่าก็คือ เมื่อใส่เคสแล้ว ในจุดที่หนาที่สุด จะหนาเพียงแค่ 9.9 มม เท่านั้น
ตรงช่องของเลนส์กล้อง ก็หนาพอที่จะทำให้เวลาวาว iPhone ลงกับโต๊ะเนี่ย จะไม่ไปโดนเลนส์ครับ
ผมใช้เคสนี้มาประมาณ 2 อาทิตย์โดยที่ใช้ตัวเคสไม้วอลนัทก่อน เพราะชอบมากกว่า และอีกอย่างโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่บ้านก็เป็นโต๊ะไม้วอลนัท เวลาวางบนโต๊ะ นี่วางคว่ำหน้าเลยครับ เพราะมันเข้ากั๊น เข้ากันมากๆ
การใส่และถอดเคสไม่ยากอะไรถ้ารู้เทคนิคครับ สำหรับตอนใส่ ก็วางมือถือลงไปทีละมุมแล้วก็ออกแรงกดเข้าไปเลย ไม่ต้องห่วง ส่วนตอนแกะ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ดันตรงเลนส์ออกมาเลยครับ แล้วเอานิ้วงัดอีกนิดก็ออกแล้ว (แต่ถ้าหลายใจไม่ถึงอาจจะมีเสียวๆหน่อย แต่เครื่อวงกับเคสมันไม่เป็นไรครับ
ในกล่องของ Mous Limitless ไม่ได้มีแค่แคสแต่แถมฟืล์มกันรอยมาด้วย ซึ่งฟิล์มกันรอยนี้ ทาง Mous ก็โฆษณาว่า เฮ้ย เราใช้ของดีนะ ฟิล์มของเราเป็นฟืล์ม 3 ชั้นที่ประกอบไปด้วย PET / TPU แล้วก็ Silicon ที่รองรับแรงกระแทกได้มากกว่าฟิล์มทั่วไป 3 เท่า ซึ่งทาง Mous เองก็เขียนไว้ใน FAQ ด้วยว่าถ้าเป็นไปได้ช่วยใช้ฟิล์มของเราเถอะ เพราะมันช่วยเซฟแรงกระแทกที่หน้าจอเข้าไปเพิ่มได้อีก แต่จะใช้พวกฟิล์มกระจก 3D ที่ขายกันทั่วๆไปก็ได้ แต่ต้องเช็คขนาดให้ดีก่อน ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวกระจกอาจจะกระเด็นออกมาได้
วางเรียงกันทั้งรุ่นเ่กา และ รุ่นใหม่ รุ่นเก่าเป็นของ iPhone 7+ ที่ฝาหลังเป็นไม้ไผ่ครับ ส่วนตัวใหม่เป็น ไม้วอลนัท กับ เคส Aramid Carbon Fiber แท้
ซึ่งอยากให้ดูวีดีโอนี้ เพราะตัวเส้นใย Aramid Carbon Fiber มันเป็นวัสดุนึงที่เค้าเอาไปใช้ทำเสื้อกันกระสุน (แต่ไม่นิยมเท่า Kevlar เพราะมันแพง) อีพวก Mous นี่ก็เลยทำวีดีโอ โยนเครื่องขึ้นไปสูงสัสๆ แล้วก็ใช้ปืน Shotgun ยิงไปที่เคสคาร์บอนไฟเบอร์ด้วยครับ ผลก็คือ (ดูวีดีโอข้างล่างเลย เวลา 00:30 ครับ)
หลังจากที่ผมซื้อมาใส่ได้ประมาณอาทิตย์นึง แฟนผมที่ใช้ iPhone8 ก็กริ๊ดๆอยากจะได้เคสนี้บ้าง เลยต้องซื้อมาอีกอันเป็นของ iPhone8 ครับ วางคู่กันบนโต๊ะนี่เนียนเลย
และที่ผมกริ๊ดคือ ในเคสของ iPhone8 มีการเซาะร่องให้เก็บ Sim Card กับ เข็มจิ้ม SIM ได้ด้วย และผมก็งงว่า เฮ้ย แล้วทำไมของ iPhone X ไม่มีฟระ จะเอาแบบนี้บ้างง่า เพราะเวลาไปเมืองนอก หลายๆคนที่ใช้วิธีซื้อ SIM ที่ประเทศปลายทางใช้งาน จะเจอปัญหาว่า ไม่รู้จะเอา SIM หลักไปเก็บไว้ไหน หรือบางที ก็อาจจะลืมเอาเข็มจิ้มมา มีแบบนี้ในเคสนี่แจ่มเลย ไม่หายแน่นอน
สรุปความรู้สึกหลังใช้เคส Mous
- จับแล้วเรียบหรู ยกขึ้นไปอวดใครก็ไฮโซ
- เวลาจับเคสอาจจะลื่นนิดๆ ข้อดีคือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหยิบออกมาง่าย ข้อเสียคือ มือจับไม่ดี มีหล่น (แต่ก็เอาเหอะ ยังไงก็ไม่แตกอยู่แล้วนี่)
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมา หนักแบบรู้สึกได้ แต่ไม่ถึงกับเพิ่มมากจนอึดอัดในการใช้งาน และ ระหว่างวอลนัท กับ คาร์บอนไฟเบอร์ ตัวคาร์บอนไฟเบอร์ถือแล้วรู้สึกหนักกว่านิดหน่อยครับ
- ปุ่มสำหรับ กด เปิด/ปิด Power หรือ ปรับเสียง ทำงานได้แม่นยำ และมีน้ำหนักมากพอที่จะไม่ทำให้ไปดันปุ่มให้ทำงานเองเวลาใส่ในกระเป๋า หรือที่แคบๆ
- ตัวเคสไม้วอลนัทจะมีกลิ่นไม้อ่อนๆ ตอนแกะใหม่ๆ (ตอนนี้กลิ่นไม่อยู่และ) และพอใช้ไปเรื่อยๆ สีมันจะเข้มขึ้นจากเหงื่อบนมือเรา จากการใช้งานทั่วไป อันนี้เป็นเรื่องปกตินะครับ
- อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ทำ Drop test ใดๆ เพื่อทดสอบมัน ถึงแม้ว่าจะมีทำหล่นตกถนนคอนกรีตชวนเสียวไส้ไปครั้งนึง แล้วรอดมาได้ เพราะผมเชื่อว่า เราไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ควรจะเก็บดวงของเราไว้ยามคับขันจริงๆดีกว่าครับ
เคสของ Mous มีลายข้างหลัง 5 แบบด้วยกัน สำหรับ iPhone X
- ฝาหลังเปลือกหอยแท้ ราคา 1,990 บาท
- ฝาหลังที่ทำจากไม้ไผ่แท้ ราคา 1,690 บาท
- ฝาหลังที่ทำจากไม้วอลนัทแท้ ราคา 1,690 บาท
- ฝาหลังที่ทำจากเส้นใย อรามิด คาร์บอนไฟเบอร์ ราคา 1,990 บาท
- ฝาหลังทำจากหนังแท้สีดำ ราคา 1,690 บาท
ราคาของ iPhone 8 กับ iPhone8+ อาจจะไม่เท่านี้ ยังไงไปดูราคาได้ที่ Facebook ของ Bright K Gadget ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการได้ที่ https://www.facebook.com/pg/brightkgadget/shop/ นะครับ