Skype อ่านว่า สะ ไกป์ นะครับ เป็นโปรแกรมติดต่อสื่อสารที่สามารถคุยกันด้วยเสียงผ่านทางเครือข่าย Internet นอกจากคุยหากันผ่านโปรแกรม Skype ผ่านเครือข่าย Internet ได้แล้ว ตัว Skype ยังสามารถโทรหาโทรศัพท์มือถือและเบอร์บ้านได้ด้วย ซึ่งจะต้องเสียเงินผ่าน Skype Credit จริงๆมันก็ไม่แพงมากนะครับ ผมใช้บ่อยๆเวลาโทรหาคนที่เมืองนอก โปรแกรมตัวนี้ถูกพัฒนาโดยโปรแกรมเมอร์ชาวเอสโตเนียครับ ชื่อว่า Ahti Heinla, Priit Kasesalu และ Jaan Tallinn ซึ่งทั้ง 3 คนนี้เคยพัฒนาโปรแกรม Peer 2 Peer ที่ชื่อว่า Kazaa มาก่อน ใครที่เล่น Internet บ่อยๆเมื่อซัก 10 ปีก่อนน่าจะจำกันได้ หลังจากที่ พัฒนาเสร็จ ก็ได้ก่อตั้งบริษัท Skype ขึ้นในปี 2003 และตอนปี 2005 ก็ถูก eBay เจ้าพ่อวงการขายของออนไลน์ซื้อตัวไปในราคา 3,100 ล้านเหรียญ ซึ่งพออยู่กันไปซักพัก Skype ก็สร้างอาการขาดทุนให้ eBay ขนาดหนัก จนในที่สุด Skype ก็ได้ตัดสินใจแยกตัวจาก eBay ครับ

AirCard หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Wireless Modem เป็นอุปกรณ์อีกอย่างนึงที่ทำให้ Notebook ของเรามีประโยชน์มากขึ้นเวลาเราอยู่นอกบ้าน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้ Notebook ที่ไม่ได้ต่อ Internet จะกลายเป็นโคตรอุปกรณ์ไร้ประโยชน์อย่างนึงเลยทีเดียว มีหน้าที่ทำให้หนักหลังอย่างเดียว แต่การมาของ เครือข่าย 3G บ้านเรา + Content สนุกๆเช่น Social Networking และ เกมบนเว็บ ทำให้ AirCard กลายเป็นสินค้าที่น่าจับตามองมากในปีนี้

อีกหนึ่งความสามารถเด็ดๆที่อยู่ใน Samsung Galaxy S นั่นก็คือ ความสามารถของกล้องครับ ซึ่งจากการทดลอง Android มาแล้วหลายรุ่น จากหลายค่าย หรือแม้แต่การทดสอบ Android 2.2 หรือ Froyo จาก Google ที่เป็น Rom ล่าสุด ก็พบว่า ความสามารถเรื่องการถ่ายรูปถ้ามาเทียบกับ Samsung Galaxy S นั้นก็ยังเรียกได้ว่า ฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

วันนี้อ่านข่าว Blognone + กับดู Hak5 ตอนนี้ ดันนำเสนอเรื่องเดียวกันเลย คือ โปรแกรมแจ้งที่อยู่ว่าอุปกรณ์ของเราอยู่ที่ไหน เผื่อว่าโดนขโมยไปจะได้ตามกลับคืนมาได้ครับ

อยากจะบอกว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปร่วมเปิดตัวชุดโปรแกรมสำนักงาน MS Office 2010 ในฐานะ Blogger ที่ได้ทดสอบเจ้าตัว Office 2010 นี่ก่อนคนอื่นประมาณ 3 เดือนได้ครับ โดยที่ก่อนจะไปเริ่มงานเปิดตัว ก็ได้มีโอกาส Training เล็กน้อยกับทาง Microsoft เกี่ยวกับเจ้า MS Office 2010 นี่แหละ เรื่องนึงที่ตอนนี้ทาง Microsoft เน้นมากๆก็คือ Concept การทำงานแบบ 3 จอ นั่นคือ เราสามารถ ทำงานได้ทั้งบน จอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ และ เบราเซอร์ ได้โดยมีความสามารถไม่แพ้กันเลยทีเดียว ซึ่งหลังจาก Training เสร็จ ผมก็สนใจบริการตัวนึงของ Microsoft มาก ซึ่งเจ้านั่นก็คือ Office Web Apps นี่แหละครับ

วันนี้ผมได้มีโอกาสรีวิว Samsung Galaxy S มือถือเรือธงจากค่าย Samsung ซึ่งนอกเหนือจากผมแล้วยังมี ปีเตอร์กวงและ นายห้างหนุ่ยช่วยกันรีวิวด้วย อย่าพลาดรีวิวจากพวกเรานะครับ จริงๆก่อนหน้านี้ทาง Samsung ก็เคยส่ง โทรศัพท์มือถือที่เป็น Android ชื่อ Samsung Spiga มาตีตลาดไทยไปแล้วครั้งนึง เล่นเอาเจ้าตลาดเก่าอย่าง HTC ออกอาการเป๋เล็กน้อย เพราะ Spec ค่อนข้างดีในราคาหมื่นต้นๆ ซึ่งศึกครั้งนั้นทำเอา HTC ต้องหั่นราคา HTC Hero และ HTC Magic ที่เป็นมือถือ Android ตอนนั้นลงไปฮวบๆเลยทีเดียว ผมที่พึ่งซื้อ HTC Hero มาตอนนั้นก็กริ๊ดไปเรียบร้อยครับ ในงานเปิดตัวเมื่อวันที่ 26 พฤษณาคมที่ผ่านมา ทาง Samsung ก็เปิดตัว Samsung Galaxy S ที่ Suntech City ประเทศสิงค์โปร์ ซึ่งในงานก็นำเสนอ สิ่งที่ S Life หรือ เจ้า S ที่ต่อท้ายชื่อรุ่นน่ะแหละครับ ซึ่งเจ้า S Life คืออะไรนั้น ดูจากวีดีโอ Presentation ที่ทาง Blognone ไปติดตามถ่ายทำมาได้เลยครับ ผมเชื่อว่าจุดเด่นของ Galaxy S ที่หลายๆคนได้ยินมาก็คือหน้าจอ Super AMOLED ซึ่งเป็นหน้าจอที่ผมขอบอกว่า โค-ตะ-ระ ชัดดด ครับ..หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานดูซักครู่พร้อมกับประกาศแอบอวดอ้างไปใน Twitter ก็มีหลายถามไถ่กันเข้ามามากมายทันที ว่า “เทียบกับหน้าจอ IPS ของ iPad แล้วเป็นยังไง” รวมไปถึง “ถ้าเทียบกับหน้าจอ Retina Display ของ iPhone 4 แล้วจะเป็นยังไง?” ซึ่งตรงนี้ ผมยังไม่มีโอกาสได้เทียบกับ iPad ทั้งแบบในเชิงเทคนิค รวมไปถึงยังไม่ได้หยิบยืม iPad ของนายห้าง @nuishow มาทดลองเลย ฮ่าๆ ดังนั้น ไว้จะมาบอกทีหลังนะครับ แต่หน้าจอ Super AMOLED ของ Samsung เนี่ย ทาง Samsung เค้าก็บอกในงานแถลงข่าวใหญ่ว่า ชัดและสว่างกว่า AMOLED แบบเดิมถึง 20% , ลดอัตราแสงสะท้อนตอนใช้งานกลางแดดถึง 80% และประหยัดแบทเพิ่มอีก 20% (ไอ้นี่ของสำคัญเลยครับ โทรศัพท์จะเทพแค่ไหนก็ง่อยเมื่อแบทหมด) เอ้า พูดพล่ามนานแล้ว มาเข้าเรื่องเนื้อๆกันบ้างเลยดีกว่า ว่ากันที่ Spec ของ Samsung Galaxy S กันก่อนเลยนะครับ ชื่ออย่างเป็นทางการ : Samsung i9000 Galaxy S CPU : S5PC110 ความเร็ว 1Ghz + …

งาน World Wide Developer Conference 2010 ครั้งนี้ก็จัดที่เดิมที่ Moscone West California เหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา ผมเองก็นั่งดู Live Coverage จากหลายๆเจ้าและเม้าท์กับหลายๆคนที่นั่งเฝ้าดู Live ด้วยกัน พอดูเสร็จก็ขอสรุปรายละเอียดแบบคร่าวๆ มาให้ชมกันนะครับ

ตอนนี้ Internet ก็เร็ว ฮาร์ดดิสก์ก็ใหญ่ แถมมี Bittorrent กันอีก แต่ละคนก็คงสูบข้อมูลเข้าเครื่องกันอย่างกะเครื่องสูบน้ำ … แต่เคยเหนื่อยไหมครับกับการหาไฟล์ซักไฟล์นึงให้เจอ ประมาณ ไฟล์ๆนี้ หรือรูปๆนั้น ที่เรานึกถึงแบบลางๆ เราเก็บอยู่ที่ไหนน้า นั่งนึกอยู่ซักพักก็นึกไม่ออก แล้วก็ต้องจำใจ ใช้โปรแกรม Search ใน Windows ซึ่ง โค-ตะ-ระ ช้าบรรลัย.. กว่าจะค้นข้อมูลไฟล์ๆนึงจาก ฮาร์ดดิสก์ของเราออกมาได้ ใช้เวลาเกือบ 5-10 นาที เล่นเอาหมดอารมณ์อยากจะหาไปแล้ว แต่ถ้าเกิดเราสามารถทำให้ไฟล์ที่คุณอยากจะหา กดปุ๊บ แล้วโผล่มาปั๊บเลย จะอยากลองใช้โปรแกรมตัวนี้กันไม๊เอ่ย…

การ Backup คืออะไร? Backup หรือภาษาไทยที่เรียกกันว่า การสำรองข้อมูลนั้น ก็คือ การทำยังไงก็ได้ ให้เรามีข้อมูลที่เราคิดว่า  สำคัญ หายไม่ได้ เสียก็ไม่ได้ เก็บไว้ในที่นึงอย่างปลอดภัย ซึ่งเทคนิคง่ายๆที่ผมใช้ในการเริ่มการ Backup ก็มีดังต่อไปนี้ครับ

iDrive เป็นทั้งโปรแกรมช่วย Backup และ Restore (กู้คืน) โดยที่ iDrive นั้นจะเก็บไฟล์สำคัญๆของเราไว้ให้บน Server ของ iDrive ซึ่งก็น่าปลอดภัยกว่ากันเยอะ ผมเห็นบางคนไม่เคย Backup กันเลย บางคนก็ Backup กันแบบตามมีตามเกิดด้วยการก๊อปใส่ Thumbdrive ไว้บ้าง พอมีปัญหาก็จะวิ่งร้องไห้ หาโปรแกรมกู้ไฟล์กันเป็นแถว มาใช้ iDrive Backup กันดีกว่า เพราะ iDrive มีข้อดีต่อไปนี้

Lifehacker เว็บไซต์รวมทิปและเทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์ที่เจ๋งมากๆ อันหนึ่ง ได้รวบรวมโปรแกรมฟรีแวร์และโอเพนซอร์สบนวินโดวส์ที่คัดแล้วว่าเจ๋ง นำมารวมเป็นชุดเพื่อความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้ เรียกง่ายๆ ว่ามันเป็นชุดโปรแกรมสำหรับคอมซื้อใหม่นั่นเอง

ตอนนี้กระแสของ Notebook Macbook ของ Apple ก็กำลังได้รับความนิยมสูงมวีากกกกกก.. เพราะหน้าตาดี เครื่องสวย ใช้แล้วก่อเกิดบารมี แถมมีศาสดาเป็น Presenter หลักทำให้กระแส Mac Fever บูมเปรี้ยงปร้าง ผมเองก็เคยใช้งาน Macbook Pro อยู่ประมาณ 4 เดือน หลังจากที่พยายามอย่างหนักมาก ก็พบว่า พอดีกว่า งานบางงานมันก็ไม่เหมาะกับการใช้ Macbook จริงๆ เช่นการควบคุม Server Windows 2003 อะไรแบบนี้ แต่อีกหนึ่งจุดขายที่ Apple โชว์มากเกี่ยวกับการใช้ Macbook และ Mac OS นั่นก็คือ Mac ไม่มีไวรัส??? แต่จริงๆแล้ว

จู่ๆ Wi-Fi ที่บ้านผมเกิดปัญหาหลุดบ่อยผิดปกติ แต่ลองใช้เครื่องเดสก์ท็อปที่ต่อสายแลนตรงกับเราเตอร์ก็ไม่เกิดปัญหาอะไร เลยเดาว่าปัญหาน่าจะเกิดจาก channel ของ Wi-Fi ชนกัน เพราะดูจากรายชื่อ Wi-Fi แล้วมันมีเยอะกว่าแต่ก่อนมาก (เน็ตเวิร์คแอดมินผมสอนมาดีครับ ได้ข่าวว่าชื่ออะไรๆ @ripmilla ประมาณนี้ :P)

ขอนอกเรื่องจาก ฟรีแวร์บ้าง ตอนนี้มีลูกค้าหลายๆรายให้ผมทำเรื่อง Maintenance ใน Office ให้ ก็ดูแลตั้งแต่เครื่องยัน Email Account และ สารพัด Account ที่ใช้รหัสผ่าน ที่ผ่านมาก็มีการตั้งรหัสผ่านนี่แหละ ที่ทำเอาผมไข้ขึ้นตลอด ทันทีที่เห็นรหัสผ่านพวกนั้น

วันนี้ดู Youtube ไปเรื่อยๆ เจออาจารย์คนหนึ่งทำ Clip วีดีโอเจ๋งมาก แกพูดถึงโปรแกรม Jing เป็นโปรแกรมที่เอาไว้ Capture หน้าจอให้กลายเป็น ภาพ หรือ วีดีโอ แล้วแชร์ให้เพื่อนดูได้ง่ายๆ แถมเป็นของฟรีซะด้วย เลยต้องลองซะหน่อ