เขียนวิเคราะห์ + ทำสไลด์เกี่ยวกับ Technology Trend มาเยอะแล้ว ทุกทีทำแต่ภาพรวม คราวนี้ขอเขียนเฉพาะเจาะจงไปในด้านเดียวบ้างนั่นก็คือ ภาคธุรกิจของไทย … เราสามารถใช้ Trend เหล่านี้มาช่วยสนับสนุนงานด้านธุรกิจของเราได้ยังไงบ้างนะครับ
รีบๆ ย้ายก้นมาใช้ Cloud Computing กันได้แล้ว
ที่ต่างประเทศเค้าเริ่มทำ IoT มาช่วยในเชิงธุรกิจกันแบบจริงจังแล้ว แต่บ้านเรายังไปไม่ถึง แต่ไม่เป็นไร บ้านเราใช้ Cloud Computing หนุนเอาก็พอแล้ว ในแง่ของการทำธุรกิจ นี่พูดมาหลายปีแล้วว่าให้ย้ายมาใช้ Cloud Computing ในการทำงานบ้างได้แล้ว จริงๆ เรื่องของ Cloud มีหลาย Layer มากๆ แต่ถ้าจะให้แบ่งแบบง่ายๆ
- คนทำงานทั่วๆไป ใช้ระบบ Cloud แบบ Saas (Software as a Service) แปลว่า มันมี App อะไรที่มันทำงานในเชิง Cloud อยู่ ไม่ว่าจะเป็น Gmail / Google Calendar / Dropbox / Slack / Asana / Trello หรืออะไรก็ได้ที่มันจะนำเอา Data ของเราไปเก็บบนอินเทอร์เน็ตแล้วให้เราทำงานได้จากทุกที่ง่ายๆน่ะใช้ไปเหอะ คนทั่วๆไปที่ไม่ใช่ระดับ Engineer แค่ย้ายมาใช้ตรงนี้ก็โคตรหรูมากๆแล้ว ซึ่งบริการตรงนี้มันเยอะมาก ทุกตัวส่วนใหญ่ใช้ฟรี แต่ถ้ามีคนใช้งานเยอะๆในองค์กรเดียวกันก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มบ้าง ซึ่งก็จ่ายไปเหอะ เพราะถ้าลองจินตนาการ ว่าต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ + Network Engineer + เงินที่ลงระบบซักเท่าไหร่ ถึงจะทำบริการฝากไฟล์ให้มันดีเท่า Dropbox ได้ ภาคธุรกิจเล็กๆตอนนี้หันมาใช้ Cloud แบบ Saas กันหมดแล้ว เหลือแค่ภาคธุรกิจใหญ่ๆ + หน่วนงานที่ขยับตัวยาก ถ้ายังไม่เปลี่ยนมาใช้เครื่องมือดีๆ เดี๋ยวจะ ไม่ทันกินโดนคู่แข่งแย่งลูกค้าเอานะ
- สำหรับ Network Engineer หรือบรรดา Programmer รุ่นเก่าๆ ก็อยากจะชักชวนให้หันมาใช้ Cloud แบบ Paas หรือพวก Platform as a Service ครับ พวกนี้เป็น Platform สำหรับวางระบบเชิงโครงสร้าง Network ที่ให้เราตั้ง Server ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ยกตัวอย่างเช่น DigitalOcean / Amazon EC2 / Microsoft Windows Azure … หรือถ้าเป็นของไทยก็มี IRIS Cloud ให้เลือก ข้อดีคือ ขึ้นระบบได้รวดเร็ว อัพเกรดระบบได้ทันที ลองนึกสภาพว่า ทำเว็บตอนวันแรก สั่งซื้อ Server ตัวเป็นแสน แต่คนเข้ามาใช้วันแรกแค่ร้อยกว่าคน งานนี้ Server ตัวเป็นแสนก็นอนเหี่ยวไปสิ การใช้ PaaS สามารถทำให้ทีม Engineer คุมเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำงานได้ เช่นวันแรก ระบบเล็ก ก็เปิดแบบเล็กๆราคาถูกๆ อยู่มาวันดีคืนดี มีลูกค้าเยอะ ก็คลิก 4-5 ที เปลี่ยน Spec เครื่องตัวเองให้แรงขึ้นตามสถานการณ์ … พอลูกค้าหาย ก็สามารถปรับลด Spec ลงได้ทันทีอีก ทำแบบเนี่ย เจ้านายเค้าก็อยากจ่าย ไม่ใช่ว่าไปขอเบิกงบซื้อ Server ตัวละสามแสนทุกๆปี โดยที่อ้างคำว่า เผื่อ เฮ้ยย มันไม่ใช่!!
- และปิดท้ายสำหรับองค์กรใหญ่ๆ ที่ตั้ง Server เองที่ Data Center เพราะเกิดความกังวลไม่อยากเอาข้อมูลไปวางไว้ที่ต่างประเทศ .. เวลาจะตั้งอย่าวางระบบเป็น OS ตรงๆ ให้วางเป็น Virtualization ตามหลักของ Iaas (Infrastructure as a Service) ไปเลยนะครับ จากนั้นทำ VM Machine ข้างในเอา เพื่อสร้างเป็น Cloud เล็กๆ ใช้แต่พอตัวในองค์กร จะทำให้เกิดสภาพคล่องในการทำงานขึ้นเยอะเลย
ถ้าไม่มีงบทำห้อง Server ก็ช่วยย้าย Server ไปที่ Data Center ที
ห้อง Data Center เป็นศูนย์รวมเครือข่ายขนาดใหญ่ ที่ผู้ให้บริการลากเอา Link ความเร็วสูงไปรวมเอาไว้ ในกรณีที่ใครที่อยากจะตั้ง Server เอง ก็จะเอา Server ไปตั้งไว้ที่ IDC หรือ Internet Data Center นี่แหละครับ การใช้งาน IDC สมัยนี้ราคาไม่แพงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ค่าใช้จ่ายในการวาง Server ของตัวเองตกเดือนละประมาณ 2,xxx บาท ความเร็วที่ได้ก็ประมาณ 100Mbps สำหรับ Local Link (Link ภายในประเทศ) มีการควบคุมอุณหภูมิ และคนเข้าออก ใครจะเข้าหรือออกห้องจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่งั้นเข้าไม่ได้ ถือว่าเป็นสรวงสวรรค์แห่งบรรดา Server ที่จะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนัก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยทีเดียวนะจ๊ะ
แต่จากการไปเป็นที่ปรึกษาในการวางระบบให้หลายๆที่ ยังมีบริษัทที่อยากจะวาง Server หรือบริการบางอย่างไว้ที่ Office ตัวเองครับ
โอเค ผมไม่เถียง เพราะในแง่ความสะดวกในการดูแล Service บางตัว หรือการ Maintenance การวางที่ Office มันก็ดีกว่าจริงๆนั่นแหละ
แต่ถ้าไม่มีงบประมาณในการทำ Link ความเร็วสูงมาไว้ที่ Office เพื่อทำการ Access จากภายนอกได้รวดเร็ว
รวมไปถึงไม่มีงบประมาณในการติดตั้งและทำห้อง Server เพื่อควบคุมคนใช้งานและควบคุมอุณหภูมิแล้วล่ะก็
ไปใช้ Data Center จะดีกว่าไม๊ เพราะทุกวันนี้เวลาผมไป Consult ให้ ผมแทบกริ๊ด จากการที่เห็น Server มากมายกองแหมะๆไว้บนโต๊ะลากสายแบบง่ายๆ ทำ Network ก็ไม่ดี ใครเดินมาเตะปลั๊กหลุดเอาง่ายๆ บางทีเอาข้าว ขนม มากินกันตรงแถวๆ Server แล้วมดก็ขึ้น โอ๊ววววววววววววว พวกเมิงงงงงง
นั่นแหละครับ ตอนนี้ Data Center ดีๆ มีเยอะมาก ลองดู Data Center ของ CAT แห่งใหม่ที่ศูนย์นนทบุรีได้ครับ
เปลี่ยนมาใช้ Internet ระดับ Fiber Optic กันได้แล้ว
อินเทอร์เน็ตที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกใช้จะเป็น Coporate Package เป็นหลัก ซึ่งพวก Corporate Package เนี่ย จะมีอัตราการแชร์กันระหว่างผู้ใช้น้อยกว่าเพื่อความเสถียรของข้อมูล บวกกับมี Support ที่เยอะกว่าเป็นพิเศษ ซึ่งเพื่อให้ได้ ความเร็วที่เพียงพอต่อการใช้งาน อาจจะมีราคาที่สูงจนเจ้าของบริษัทเป็นลมได้ เลยกลายเป็นว่า ต้องเลือกใช้ Internet ที่มันความเร็วลดลงเพื่อให้เพียงพอต่องบประมาณ (น้ำตาจะไหล เจอบริษัทนึงจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตเดือนละ 40,000 แต่มีความเร็วแค่ 10Mbps)
ซึ่งแน่นอนล่ะ ความเร็ว 10Mbps มันจะไปเพียงพอต่อการใช้งานในตอนนี้ได้ยังไง เพราะ Content ภาพ วีดีโอ มันเยอะขึ้น แถมถ้าทำงานร่วมกับ Cloud Computing อีก ยิ่งต้องการความเร็วมากขึ้น ผมประเมินคร่าวๆว่า ถ้าคุณมีพนักงานซัก 30 คน อย่างน้อยก็ต้องมีอินเทอร์เน็ต 30-50Mbps เป็นอย่างน้อยสำหรับ Download …. และเผื่อให้อีก 10% เป็นค่า Upload ครับ หรือประมาณ 3-5Mbps นั่นแหละ
ตอนนี้เรามี FTTx หรือ Fiber to the Home ที่มีความเร็วสูงมากๆ ในราคาที่ไม่แพงแล้ว เรียกได้ว่า ติดกันสิบเส้นยังถูกกว่า ติด Corporate Link เส้นนึงเลยครับ ดังนั้นจงอย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป คุณอาจจะติด FTTx เพิ่มอีกสักเส้น เพื่อเสริมความเร็ว อินเทอร์เน็ตในการใช้งานร่วมกับอินเทอร์เน็ตเส้นเดิม (เพราะไอ้เรื่อง Support เองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้) หรือถ้าคุณมั่นใจว่าไม่ได้ต้องการ Support ขนาดนั้น จะเอา FTTx อย่างเดียวเลยก็ได้ครับ
แต่ที่สำคัญ หากคุณเป็นองค์กรที่มี Web Service หรือ การทำงานจากภายนอก เพื่อให้ง่ายต่อการเชื่อมต่อจากภายนอกเข้ามา อย่าลืมขอ Fix IP ซัก 1 IP เป็นของตัวเองด้วยนะ งานจะง่ายขึ้นเยอะ
ถ้าจะวางระบบไร้สายให้ใช้มาตรฐาน WIFI AC Wave 2
เดี๋ยวนี้คนทำงานชอบคิดกันว่า ใช้งานผ่าน Wireless LAN สิ สะดวกดีออก ไม่ต้องลากสาย แค่วาง WIFI Router ตัวเดียวก็ทำงานตรงไหนก็ได้ เชรดดด โลกนี้คือสวรรค์
กลับสู่ความเป็นจริงก่อนครับ โลกไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น การใช้ Wireless LAN มันเป็นแค่เครือข่ายสำรองเท่านั้น เพราะว่า
Wireless Router เหี่ยวๆที่แถมมากับผู้ให้บริการ มันรองรับอุปกรณืได้ 7-10 ชิ้นเท่านั้นแหละ
ระยะทางที่ไกลที่สุดที่ Wireless LAN ส่งได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัว Router นะครับ แต่อยู่กับตัวอุปกรณ์ภาครับต่างหาก เพราะอุปกรณ์ไร้สายจะคุยกันได้ “ทั้งสองข้างจะต้องส่งสัญญาณหากันได้” ไม่ใช่ว่าไปเพิ่มกำลังส่งฝั่ง Access Point แล้วมันจะได้ผลยนะครับ
แถมอุปกรณ์ WIFI เวลาคุยกัน มันจะคุยกันทีละคน ถ้ามี 10 คนรอส่งข้อมูลกับตัว Access Point ก็จะต้องรอคุยทีละคนครับ ดังนั้นยิ่งคนเยอะ Delay Time ยิ่งนาน
แต่ว่าด้วยมาตรฐาน WIFI รุ่นใหม่ที่เป็น WIFI 802.11ac Wave 2 ทำให้เกิดความสามารถชื่อ MU-MIMO ขึ้นมาครับ มันทำให้อุปกรณ์ Access Point สามารถที่จะคุยกับ 3 อุปกรณ์ได้พร้อมกัน ซึ่งจะช่วยลดพวก Delay Time ในระบบได้มากขึ้น
มีระบบ Beamforming ที่ทำให้สัญญาณเสถียรกว่าเดิม บวกกับ Band Steering เพื่อผลักอุปกรณ์เน็ตเวิร์คให้ย้ายไปใช้คลื่น 5Ghz โดยอัตโนมัติอีก อู๊ยยยย ชอบจริงๆ
ดังนั้นหากบริษัทคุณกำลังอยากจะวางระบบ WIFI ใหม่ ยังไงก็ให้มัน รองรับ,มาตรฐาน WIFI AC Wave 2 กันด้วยนะครับ
เปลี่ยนเว็บของบริษัทให้รองรับการแสดงผลบน Mobile หรือ Responsive
ตอนนี้ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีเว็บ เพื่อเป็นเหมือนจุดยืนตัวเองบนโลกอินเทอร์เน็ต เป็นช่องทางติดต่อ ให้ข้อมูล รวมไปถึงช่องทางที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีวิสัยทัศน์ในโลกเทคโนโลยีมากพอที่จะให้ความสำคัญด้านนี้
ผมเห็นเว็บของหลายองค์กรมาเยอะ ที่ตอนนี้ยังเป็นเวอร์ชั่นเก่า ดึกดำบรรพ์ และไม่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เชื่อไหมครับว่า คนที่เค้าอยากจะติดต่อด้วยบางทีเค้าก็วัดกันว่า เราจะทำงานร่วมกันได้ไหมจากหน้าเว็บเนี่ยแหละครับ
ถ้าหากเว็บของคุณยังไม่อัพเดทข้อมูลบ้าง ไม่ปรับปรุงระบบให้รองรับการดูบน Smartphone แล้วล่ะก็ โอ๊ยยยยย ผมว่ามันเป็นเรื่องที่เอาไว้แบ่งแยกระหว่างบริษัทยุคเก่ากับยุคใหม่ได้เลยนะ
ตอนนี้คนใช้โทรศัพท์มือถือเป็นปริมาณมหาศาล และกว่า 70% ก็ใช้มันเข้าอ่านข้อมูลบนเว็บ แต่ถ้าหากหน้าเว็บคุณยังไม่ทำเป็น Mobile Support หรือรองรับ Responsive ล่ะก็ ควรจะรีบๆทำได้แล้วถึงแม้ว่า คนอาจจะไม่ได้เข้ามาดูเยอะ แต่เชื่อเถอะครับว่า คนที่เข้ามาดูน่ะ ลูกค้าหรือคู่ค้าของคุณทั้งนั้น แล้วคุณอยากจะเอาโบราณสถานไปรับแขกหรือไงครับ
และสำหรับคนที่ทำเว็บสาย Content หรือ E-Commerce .. ตอนนี้ Google จะให้น้ำหนักในการค้นหามากกว่า หากเว็บของคุณรองรับการแสดงผลอย่างถูกต้อง แต่ถ้าไม่ อันดับเว็บของคุณก็จะตกลงไป … ในเชิงการชิงพื้นที่แสดงผลให้ลูกค้าได้เห็น นี่มันโคตรหายนะเลยนะครับ การทำเว็บเพื่อรองรับหน้าจอมือถือ มีหลายแบบ จะใช้ Plugin ช่วยก็ได้ (สำหรับเว็บที่เป็น CMS) แต่ถ้าเว็บเขียนสด อาจจะต้องออกแบบใหม่เพื่อความง่ายในการนำไปแสดงผลบนมือถือครับ
เลิกประชุมอย่างไร้สาระซะที
หลายบริษัทน่าจะมีกิจกรรมนึงที่เรียกได้ว่า กิจกรรมอู้งานของเหล่าพนักงาน นั่นคือการประชุมครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเวลาประชุมทีนึง ต้องลากคนเข้าไปประชุมกันเยอะๆ เหมือนกลัวจะไม่มีเรื่องคุยกัน แล้วผลที่ได้ก็คือ ไม่เห็นมีเรื่องเป็นชิ้นเป็นอันในการประชุมครั้งนั้น เสียเวลา บางคนก็เอาเวลานี้ไปเล่นมือถือ หรือไม่ได้ใส่ใจการประชุมอะไรมากนัก ตอนนี้ที่ต่างประเทศกำลังฮิตมากเลยคือ Stand up Meeting หรือ ยืนประชุมครับ
การยืนประชุมส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ต่อ 1 Meeting ข้อดีคือ เพราะมันลำบากต้องมายืนนี่แหละครับ เลยทำให้ทุกคนว่อกแว่กไม่ได้ ต้องใส่ใจในทุกๆเรื่องที่มันเกิดขึ้น และจากการที่มันลำบากเนี่ย มันเลยทำให้การประชุมจบเร็ว ไม่เยื่นเย้อ ทุกคนแอบเล่นมือถือไม่ได้ เพราะทุกคนจะเห็นกันหมด ว่า เฮ้ย อย่าเล่นมือถือเด่ะ ขี้เกียจยืน จะรีบกลับไปทำงานต่อ
การทำ Stand up Meeting เหมาะที่สุดตอนก่อนเริ่มงานครับ เป็นการอัพเดทงานสั้นๆของตัวเองกับทีมเพื่อรายงานสถานะการทำงาน ว่าอยู่ตรงไหน ราบรื่นหรือเปล่า ต้องการความช่วยเหลือจากใครไหม
หรือถ้า Stand Up Meeting มันไม่เร้าใจพอ ก็ทำ Plank Meeting ก็ได้นะครับ รับรอง แค่ 5 นาที ทุกคนจะมีสมาธิในการประชุม ไม่มีว่อกแว่ก ไม่มีเยิ่นเย้อ รีบสรุปทันที ไม่มีขี้เกียจและอิดออดเวลาแจกจ่ายงาน
ทำระบบ Video Conference ได้แล้ว หากคุณมีการประชุมต่างสถานที่บ่อยๆ ลงทุนครั้งเดียว สบายไปทั้งชีวิต
อีกหนึ่งสถานการณ์อู้งานสำหรับพนักงาน คือการหาเรื่องออกไปประชุมนอกสถานที่ครับ บางคนมาสิบโมงเช้า (เข้างานสายโคตร) แปบเดียวออกไปกินข้าวเที่ยง บ่ายออกไปประชุม แล้วหายหัวยาว พอ 5 โมงเย็นโทรมาบอกว่า ประชุมเย็นมาก เดี๋ยวขอกลับบ้านเลยไม่เข้า Office (สถานการณ์คุ้นๆไหมครับ ผมเองยังทำมาแล้ว ฮ่าๆ)
อ่ะ สมมติเรามองข้ามเรื่องอู้งานไป ปัญหาอีกเรื่องของการประชุมนอกสถานที่ก็คิอ รถติดโคตร ตอนนี้กรุงเทพเป็นเมืองที่มีดัชนีรถติดเป็นอันดับสองของโลกนะครับ ประชุมชั่วโมงเดียว แต่ดัน เสียเวลาเดินทางไปกลับอีก 3 ชั่วโมง งานการบรรลัยหมด ยังไงช่วยลงทุนกับระบบ Video Conference หน่อยเถอะคร้าบ
เดี๋ยวนี้ระบบ Video Conference ก็ง่ายดายกว่าเดิมมากแล้ว แค่ตั้ง Computer + กล้อง Webcam ชัดๆ + Internet เร็วๆ + ลำโพงและชุดไมโครโฟนสำหรับการทำ Video Conference โดยเฉพาะ จากนั้นลง Software ครับ ซึ่งตอนนี้ Software สำหรับทำเรื่องงานประชุม ก็มีกันอยู่ไม่กี่ตัวหรอกครับ Google Hangout / Skype Pro / Cisco Webex / Citrix อะไรประมาณนี้ ซึ่งคอมพิวเตอร์ทุกตัวสามารถทำงานได้อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้ระบบอะไร ก็ไม่ต้องห่วงครับ การเตรียมเอกสารไป Present บนระบบ Video Conference ก็ง่ายกว่าแต่ก่อนครับ รีบๆทำซักชุดเหอะ ชีวิตจะได้สบายและมี Productivity มากขึ้น
Work From Home
ทำงานจากบ้าน เป็นแนวคิดที่บรรดาบริษัทต่างประเทศเริ่มจะนำเอามาใช้ โดยที่ปรับระยะเวลาการทำงานให้มันสอดคล้องกันแทน โดยที่ ใน 1 สัปดาห์คนที่สามารถทำงานจากบ้านได้เช่น โปรแกรมเมอร์ / Graphic Design จะสามารถเลือกที่จะทำงานที่บ้านได้ 1 วัน ข้อดีคือ ไม่ต้องเดินทาง เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน หรือมีเวลาในการจัดการธุระอะไรก็ตามที่ต้องทำที่บ้าน โดยทำงานของบริษัทควบคู่กันไปด้วย แต่การจะทำระบบ Work From home ได้ ไม่ใช่อยากจะไปนั่งทำงานที่บ้านก็ทำได้นะครับ เราจะต้องทำระบบใน Office ให้รองรับไว้ด้วยเช่น
VPN เพื่อเชื่อมต่อกลับเข้ามาในบริษัท
ระบบ Storage กลางผ่าน Cloud หรือ ในบริษัทเพื่อที่จะเอางานมาดูแลต่อได้ ตอนนี้พนักงานคนนั้นกลับไปบ้าน
ระบบ Video Conference เผื่อต้องประชุม
ระบบยืนยันตัวตนว่ากำลังออนไลน์และทำงานอยู่อะไรแบบนี้
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรครับ หากเครือข่ายของเราเร็วพอ ซึ่งตอนนี้ FTTx หรือ 4G ก็มีกันแล้ว ทำให้การทำงานแบบ Work From Home ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียวครับ
และทั้งหมดนี่ก็คือ 8 Technology Trend ที่องค์กรทั้งหลายในบ้านเราควรนำไปใช้ า อาจจะใช้ไม่หมดทุกข้อ หรืออาจจะปรับๆตามสไตล์ขององค์กรก็ได้นะครับ จะว่าไป Blog ตอนนี้เหมือนไม่ได้มาเขียน Trend นะ เหมือนมาระบายความชอกช้ำที่ไปเจอมามากกว่านะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ