นั่งกินข้าวกับพี่ที่รู้จักคนนึงในงาน Thailand Mobile Expo .. พี่แกถามว่า พี่กำลังจะสั่ง Mi TV 2 เข้ามาใช้ที่บ้าน จะเอาไปรีวิวก่อนไหม …. แหม ถามแบบนี้มันตอบแบบอื่นได้เรอะครับ ผมเองอยากจะลอง Mi TV เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน เจ้า Mi TV2 ก็บินจากประเทศจีนมาถึงไทย และมาอยู่บ้านผมประมาณ 4 วันได้ครับ
ก่อนจะรีวิว ก็ขอเล่าประวัติของ Xiaomi ให้ฟังกันคร่าวๆก่อนว่าพี่แกเป็นใครมาจากไหน ทำไมอยู่ดีๆ สินค้าของพี่แกก็เริ่มบุกมาตีตลาดโลกแบบคุณภาพล้ำค่า ราคาติดดิน …
เสี่ยวหมี (หรือที่บ้านเราเรียกว่า เสี่ยวมี่) เป็นทีมพัฒนา Rom ของ Android มาก่อน โดยใช้ชื่อว่า MIUI (มียูไอ) ก็เป็นรอมที่โด่งดังระดับโลก คนเล่น Android สาย Hack Rom ชอบใช้กันมาก จนตอนหลังพัฒนา Store ของตัวเองครอบเจ้ารอมนี่เข้าไปอีก เริ่มทำมาค้าขึ้น จนกระทั่งมีนักลงทุนเอาเงินมาให้แล้วบอกว่า “เฮ้ย เอ็งทำมือถือเลยเหอะ” จากนั้น เราก็จะได้เห็น Mi Phone เปิดตัวออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุด ก็คือ Mi 4 ที่ตอนนี้ dtac เอาเข้ามาขาย (จริงๆมีอีกเพียบ)
Xiaomi ใช้เทคนิคการทำสินค้าแบบเดียวกับ Apple นั่นก็คือ ทำของให้ดีมากๆ โดยเน้นด้านสเป๊คและหน้าตาการใช้งาน แต่เพิ่มท่าไม้ตายเข้าไปอีกหนึ่งท่า นั่นก็คือการลดราคาออกมาให้กำไรต่อชิ้นน้อยมากๆ แล้วเน้นขายออนไลน์แทน เพราะตัวเองอยู่ในประเทศจีนที่เป็นโรงงานใหญ่ของโลกทำให้ต้นทุนในการผลิตถูกมากๆ บวกกับการขายสินค้าตัวเองผ่านทางออนไลน์อย่างเดียว ทำให้ลดต้นทุนได้อีก ซึ่งงบประมาณด้านการตลาดส่วนใหญ่เอามายัด Spec ให้ลูกค้าหมด จากนั้นก็กดราคาให้โคตรถูก จากนั้นก็ให้ลูกค้าบอกกันปากต่อปากกันเองจนทำให้สินค้าได้รับความนิยมมาก …เช่น Mi4 ตอนเปิดตัวเห็นว่าหมดภายในเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น
หลังจากนั้น Xiaomi ก็เอานโยบายการทำสินค้าแบบนี้ ไปทำกับสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น Powerbank , รองเท้า , เครื่องฟอกอากาศ , Wireless Router , ลำโพง ทำให้ Xiaomi กลายเป็นบริษัทที่โคตรน่าจับตามองที่สุดในประเทศจีนตอนนี้เลยครับ
ซึ่งเจ้า Mi TV ที่ผมได้รับมาทดสอบก็เป็น Mi TV2 ขนาดหน้าจอ 55 นิ้วครับ ถ้ากดเข้าไปดูในเว็บของ Xiaomi Global จะเห็นแค่รุ่น 47 นิ้วเท่านั้น เพราะรุ่น 55 นิ้วจะขายเฉพาะในประเทศจีนก่อนครับ
แล้ว Spec ของเจ้า Mi TV2 ขนาด 55 นิ้วนี่มันเจ๋งขนาดไหน และราคาเท่าไหร่กันล่ะ
มาดู Spec ก่อนเลยครับ
- Smart TV ขนาด 55 นิ้ว รองรับความละเอียด 4K
- ใช้ LED Panel ของ Samsung
- CPU เป็น MStar 6A928 สามารถเล่นไฟล์ 4K ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีได้เลย ไม่กระตุก
- GPU เป็น Mali 760 แบบ 6 แกนสมอง
- Ram 2GB แบบ Triple Channel
- หน่วยความจำขนาด 8GB แบบ eMMC 5.0 เขียน/อ่าน ข้อมูลด้วยความเร็ว 400 MB/วินาที
- ลำโพงแบบ Soundbar 8 ดอกลำโพง พร้อม Sub Woofer ขนาด 6.5 นิ้ว
- ระบบ WIFI แบบ 802.11ac
- ชิปถอดรหัสเสียง Dolby MS12 Virtual Sound
- ในราคาหิ้ว 38,500 บาทครับ เชรดดดดดดดดด
วันที่เค้าเอาของมาส่งผม ผมนี่ถึงกับสะท้าน เพราะกล่องโคตรใหญ่เลยครับ แล้วตัวที่พี่เค้าสั่งมานี่ มาพร้อม Soundbar + Sub Woofer ขนาด 6.5 นิ้วด้วย จะเห็นได้ว่า มีกล่องเล็กๆ ข้างๆกัน ข้างในนั้นจะใส่ Sub Woofer มาครับ น้ำหนักประมาณ 10 กว่ากิโลได้ แบกกันหลังแอ่นเลยทีเดียว ดูความใหญ่เทียบกับจักรยานของผมได้เลย ใหญ่มากๆ
แต่การแกะไม่ยากอะไรเลยครับ ดึงสลักสีขาวจำนวน 4 อันตรงกล่องออกแล้วก็ยกขึ้นตรงๆได้เลย จะเจอเจ้า Mi TV2 ยืนตั้งตระหง่ายอยู่ โอวววว ใหญ่มากกกก
การตั้งเจ้า Mi TV2 ก็จะมีขาตั้งแบบนี้มาให้ครับ ต้องไขน็อตเข้าไป
คู่มือภาษาจีน ฮ่าๆ อ่านไม่ออก เดาเอาอย่างเดียวครับ
อันนี้เป็น Technical Spec พอจะเข้าใจคร่าวๆเหมือนกัน เอ้า เอาไว้ก่อน
Mi TV2 จะมี Port มาให้ดังต่อไปนี้ครับ
- HDMI x 3
- VGA x 1
- RCA x 1
- RJ45 x 1
- Optical output x 1
- Antenna x 1
- USB 3.0 x 1
- USB 2.0 x 1
รีโมทหน้าตาคล้าย Apple TV มา ใช้งานง่ายครับ กดขึ้น ลง ซ้าย ขวา แล้วก็กดตรงกลางเป็น Enter เท่านั้นเอง ส่วนปุ่มข้างล่างก็มาตรฐาน Android เลยครับ Home / Back / Menu ตามสูตร
มีไขควงสำหรับไขน็อตยึดขามาให้ด้วย
และนี่คือสาย Audio Output สำหรับส่งสัญญาณเสียงไปยัง Sound Bar ครับ
ลองยกทีวีขึ้นตั้ง พร้อม Sound Bar .. โอ้แม่เจ้า ล้นทะลัก ตู้ Built-in ของผมที่ออกแบบมาให้ใส่ TV 42 นิ้วไปเลยครับ ข้างล่างก็คือ Sound Bar ที่มีลำโพง 8 ตัวนะครับ
และคู่หูอีกตัวคือ Sub Woofer ขนาด 6.5 นิ้ว ใหญ่มากครับ มองเผินๆ เหมือนเครื่อง Mac Pro เลย
ขอบจอบางมากๆ
ตอนเปิดเครื่องมาก็พอทำใจไว้แล้วว่าเจอเมนูจีนแน่ๆ ก็ด้นไปเรื่อยๆครับ อย่างหน้านี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหน้าเชื่อมต่อ WIFI ซึ่ง Mi TV2 ตัวนี้ ให้ WIFI มาตรฐาน 802.11ac ที่เป็นตัวล่าสุดเลยนะครับ เรียกได้ว่าออกแบบมาเพื่อการใช้งานไร้สายเลยล่ะ
ตัวทีวีจะมี Wizard สอนการใช้งานไปเรื่อยๆครับ อย่างหน้านี้ก็คือจะสอนเชื่อมสัญญาณเสียงกับ Soundbar
ตอนแรกผมนึกว่าเจ้า Sound Bar ตัวนี้จะเป็นแค่ลำโพงสายธรรมดา ที่ไหนได้มันมีปุ่มควบคุมความดัง และควบคุมการเล่น/หยุดเพลงได้ เฮ้ย ยังไงเนี่ย ถ้าเป็นแค่ลำโพงสายจะควบคุมเพลงได้ทำไม ที่ไหนได้ เจ้า Sound Bar ตัวนี้เป็น Bluetooth Soundbar Speaker นะครับ คุณสามารถเชื่อมกับมือถือของคุณไว้เล่นเพลงก็ได้ แม่เจ้าาาา และมันทำงานเชื่อมกับตัว Sub Woofer ด้วย Bluetooth อีกต่างหาก โคตรเจ๋งเลย
เมื่อเรา Setup ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจ้า Mi TV ก็พร้อมทำงาน ด้วยการโชว์พลังเสียงระดับ Dolby กันเลยทีเดียว พึ่งเห็นว่าชิปเสียงของมันถอดรหัส DTS ของ Dolby ได้ในตัวเลย แม่เจ้าาาาาาาา (รอบสอง)
พอบูทเสร็จก็จะเข้าหน้านี้ครับ … Mi TV ทุกตัวจะใช้ระบบปฏิบัติการ Android ที่โมดิฟาย หน้าตามา เรียกว่า MIUI TV (Google CTS certified Android 4.1) ซึ่งในรุ่นปัจจุบันคือรุ่น 1.8 ครับ มาเป็นเมนูจีนแบบนี้ ไปไม่ถูกเลย
พยายามเข้าไปปรับใน Setting ก็ไม่มีให้แก้ไขเปลี่ยนภาษา บรรลัยล่ะ ทำยังไงดีล่ะเนี่ย ก็เลยไปค้นใน Internet มา เจอคนทำเป็นชาวรัสเซีย แกบอกว่า วิธีเปลี่ยนภาษา ก็คือ ให้ Root เครื่องให้ได้ก่อนเพื่อติดตั้ง Locale2 ซึ่งเป็น App เปลี่ยนภาษาลงไป
จากที่ผมอ่านมา ขั้นตอนคร่าวๆก็มีดังต่อไปนี้
- โหลด 360 Root กับ Locale2 มาจาก Google PlayStore (ขั้นตอนนี้ ค่อนข้างยากนะครับ เพราะว่า มันชอบมีคนเอา APK เถื่อนมาหลอกให้เราติดตั้ง)
- เอาไฟล์ APK ทั้ง 2 ตัวยัดใส่ Flashdrive
- เอา Flashdrive จิ้มเข้าไปที่ทีวี
- เข้าโปรแกรม Video Player เลือกไฟล์ APK แล้วติดตั้ง (หน้าตาภาษาจีนอีกต้องเดาๆเอา)
- เข้า 360Root แล้วสั่งรูท TV
- พอรูทเสร็จ ก็ Restart เข้า Locale2 เพื่อเปลี่ยนภาษา อีกทีก็จบ
แต่มันทำไม่ได้ครับ!!!!
เพราะไอ้ 360 Root มันไม่สามารถรูท Mi TV เวอร์ชั่น 1.8 ได้ ขั้นตอนที่เค้าบอกว่ามันทำได้กับพวกรุ่น 1.4 ลงไปเท่านั้น ผมก็พยายามแทบตายอยู่ทั้งคืนไม่ได้ซะที มิน่าล่ะ จนกระทั่งไปไล่อ่านตามบอร์ด มีคนนึงให้เทคนิคที่น่าสนใจมาอีกอัน นั่นก็คือ
มันจะไปยากอะไร เราก็โหลด App อื่นที่เป็น HomeScreen มาทำงาน แล้วก็เปลี่ยนภาษาผ่าน App นั้นก็ได้นี่
เออ! จริงด้วย เพราะปัญหาที่ Mi TV2 มันเปลี่ยนภาษไม่ได้ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันทำไม่ได้ แต่เพราะมันไม่ได้มีเมนูเปลี่ยนภาษาให้กด ถ้าเราเอา App ไหนที่มันมีหน้า Setting แบบเต็มๆ ของ Android มาสั่งงานแทนก็ได้แล้วนี่หว่า
ผมก็เลยไปค้น Smart TV HomeScreen App มาตัวนึงชื่อว่า TV Launcher ครับ
พอเข้า TV Launcher มันก็มี System Settings มาให้ โอ้ น้ำตาไหลพรากๆเลยครับพี่น้อง
เลือก Language & Input แล้วก็เปลี่ยนได้เลย จบข่าว
เท่านี้เมนูกว่า 90% ในเครื่องก็กลายเป็นภาษาอังกฤษแล้วครับ
ความสามารถ Smart TV ของ Mi TV2 เนี่ยมันก็คือ Android ปรุงแต่งนิดๆนั่นแหละครับ โดยที่จะแบ่งเป็น 3 เมนูใหญ่นั่นก็คือ หนัง / App / Game ครับ
ในส่วนของ App และ เกมจะเป็นของประเทศจีนเป็นหลัก ติดตั้งมางงโคตร อ่านไม่ออก อันนี้เริ่มไม่ค่อยเห็นประโยชน์และ
แต่ก็พอมีเกม Action เจ๋งๆ อยู่บ้างนะครับ มี KOF97 ให้เล่นฟรีด้วยนะ
ส่วนหนังเนี่ย คุณสามารถดูหนังและซื้อหนังจากประเทศจีนได้ ซึ่งมีหนังเยอะมากๆ เสียอย่างเดียว เราดูไม่ได้ครับ ฮ่าๆ เพราะหนังเหล่านี้ฉายในประเทศจีนเท่านั้น ผมลองกดสั่งหนังมาดู มันก็ไม่ยอมเล่นให้ ขนาด Trailer ยังไม่ยอมฉายให้ดูเลย
ตกลงมันดีหรือไม่ดีวะเนี่ย??
มันดีแหละครับ แต่เราดันอยู่ในประเทศไทยที่มันเข้าไปใช้งาน Service หลายๆอย่างของประเทศจีนไม่ได้
คือถ้าคุณมี Mi Account ลงทะเบียนในเครื่องบวกอ่านภาษาจีนออก คุณสามารถโหลดหนังมาดูได้เพียบ ราคาไม่แพง แอป กับ เกม ก็เยอะ แถมตัวทีวียังเชื่อมกับ Joystick ได้อีกด้วย เล่นเกมบนทีวีโดยตรงได้เลย แถมพอเชื่อมกับ Mi Account ก็จะมี Cloud ของ Mi ติดมาด้วย ทำให้รูปภาพที่คุณ Backup บน Cloud สามารถดูผ่านทีวีตัวนี้ได้เลยครับ
แต่พอใช้สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ Mi TV2 ก็จะเสียความสามารถไปเยอะเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นทีวี 55 นิ้วความละเอียด 4K พร้อมระบบเสียง Dolby ก็ยังถือว่า น่าสนใจอยู่มากเลยแหละ และที่เจ๋งมากคือตัว Media Player ที่อยู่ในเครื่องนี่แหละครับ
เพราะทันทีที่เปิดเครื่อง เจ้า Mi TV2 ก็จะทำการคุ้ย Network ของผมทันที ว่ามีหนังซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหนบ้าง จากในรูปคือมันคุ้ย NAS ของผมซะกระจุย เอามาจัดเรียงพร้อมปกหนัง แถมดึงเอาคะแนนจาก IMDB มาใส่อีก เฮ้ยย ยังดีนะเก็บหนังอันตรายไว้ที่อื่น ไม่งั้นจะโดนมันเปิดเผยความลับมาซะหมด
ตัว Media Player นี่ถือว่าเป็นความเจ๋งของเจ้า Mi TV2 ตัวนี้เลยทีเดียวครับ คือ เล่นหนังได้รวดเร็ว เลือกเสียงและ Subtitle ได้ ปรับขนาดภาพ ปรับความเร็วในการแสดง Subtitle เพื่อให้พอดีกับเสียงก็ได้
Mi TV2 รองรับการเล่นหนังสามมิติด้วยนะครับ แต่ไม่มีแว่นมาให้ ต้องไปหาแว่นใส่กันเอาเองนะ
ตัว Media Player นอกจากเล่นหนังแล้ว ยังเล่นภาพ กับ เพลงได้ด้วย ใครที่มีไฟล์อันตรายโปรดระวัง!!
พูดแต่ความสามารถ ลืมบอกเรื่องคุณภาพหน้าจอเลยแฮะ ผมลองโหลดเอาไฟล์ 4K ใน Youtube มาเล่นดู โอ๊ยยย คมบาดใจมากครับ แสงสี สด แจ่มจริงๆ
ดูอนิเมนี่โคตรใหญ่สะใจ
จริงๆ ถ้าไม่ได้ใช้พวก Media Player ก็สามารถเสียบพวก Player อื่นๆ เช่น True Vision , BluRay ผ่านทาง HDMI ได้เลย
นอกจากนี้ยังรองรับ มาตรฐานการนำภาพมาเล่นอย่าง DLNA , Intel Wireless Display อีกด้วย กดปล่อยภาพได้เลยนะจ๊ะ
เรื่องน่าหมั่นไส้อย่างนึงของเจ้า Mi TV2 ก็คือ … เวลาที่เราเล่นไฟล์จาก Media Player แล้วกด Pause เอาไว้ ซักพักมันจะโหลดโฆษณาขึ้นมาเองครับ ตอนแรกผมก็งง นึกว่า Screen Saver ที่ไหนได้ โฆษณา…..แหม่
ปิดท้ายด้วยการทำ Antutu Test ซะหน่อยว่าเจ้าทีวีนี่มันแรงขนาดไหนครับ
น่าตกใจมาก คะแนนสูงปริ๊ด 32,397 คะแนน เรียกได้ว่า แรงพอๆกับ LG G3 / Nexus 5 เลยนะครับ
สรุปความรู้สึกการที่ได้ทดลองใช้ Mi TV2 เป็นเวลา 1 อาทิตย์
- จอภาพคมกริบ สวยงาม แสดงสีได้โคตรแจ่ม ความละเอียด 4K ที่เมื่อก่อนคิดว่าไม่ค่อยจำเป็น พอโดนจังๆใส่ลูกตาซักที กลายเป็นว่าลูกตากระแดะ ไม่สามารถดูพวก Full HD แล้วรู้สึกชัดได้อีกต่อไป
- วัสดุในการประกอบสมกับเป็นของจีน คือ ขอบจอ ดูไกลๆแล้วบางสวย ดูใกล้ๆแล้ววัสดุดูไม่ค่อยดี ออกแนวกระป๋องๆนิดนึง
- ระบบเสียงดีมากๆ ใช้ดูหนัง ก็ให้มิติเสียงที่แน่น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ฟังแล้วเสียงระเบิด เสียงการเคลื่อนไหวจากซ้ายไปขวาจะแม่นเป๊ะ แต่ถ้าเอา ดัง เอาเสียงแน่น เอาเสียงครบถ้วน ถือว่าสบายมาก
- รีโมทใช้งานง่าย
- ซีพียูเร็วมาก ใช้แล้วไม่อึดอัดน่ารำคาญเหมือนพวก Android Box ราคาถูกๆ
- จริงๆถ้า Root ได้ จะสามารถติดตั้ง Google PlayStore + Youtube ได้ แต่เนื่องจาก Mi TV 1.8 ตอนนี้ยังรูทไม่ได้ ต้องรอคนทำ Software รุ่นใหม่ออกมา
- Media Player จอมโหดที่จะคุ้ยเอาหนังทุกเรื่องใน Network คุณมาเผยแพร่ ระวัง ระวัง ระวัง!!
- ถึงแม้จะใช้ Service ของประเทศจีนไม่ได้ แต่คิดว่า จอ 55 นิ้ว 4K รองรับ 3D เป็น Smart TV มาพร้อม Sound Bar + Sub Woofer ในราคา 38,500 บาท(หิ้ว) แค่นี้ก็โคตรคุ้มแล้ว