WIKO เป็นแบรนด์มือถือจากฝรั่งเศสที่ทางบริษัท SIS Distribution นำเข้ามาทำตลาดได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ช่วงปีแรกๆ ก็ใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและชื่อเสียงนานเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็เรียกว่าได้รับการยอมรับและคุ้นหูคุ้นตากับบรรดาผู้ใช้ Smartphone เมืองไทยระดับนึงแล้ว ล่าสุดก็เปิดตัว Smartphone ที่เป็น Series ใหม่ เน้นคนที่เริ่มต้นใช้งาน Android ที่ราคาประหยัด แต่ผมว่าสิ่งที่ให้มา มันโอ้โหเฮะกว่ายี่ห้ออื่นระดับนึงเลยครับ
สำหรับ Spec พื้นฐานของ WIKO U FEEL ก็มีดังต่อไปนี้ครับ
- หน้าจอเป็น IPS ความละเอียด HD720p ขนาด 5 นิ้ว
- CPU รหัส MT 6735P แบบ quad-core ความเร็ว 1.3GHz รองรับ 64-Bit
- Android 6.0 Marshmallow (มันแจ๋วตรงนี้แหละ)
- ROM 32 GB | RAM 3 GB (ได้ Ram 3GB!!!)
- กล้องหลัง 13 MP กล้องหน้า 5 MP มีไฟ Flash สำหรับ Selfie ให้ด้วย
- รองรับ 2 SIM (ความถี่ 3G ที่รองรับคือ : 850 / 900 / 1800 / 2100 ครบทุกย่านที่ประเทศไทยมี ส่วน ความถี่ 4G รองรับ 800 / 900 / 1,800 / 2,100 / 2,600)
- ระบบสแกนลายนิ้วมือ (ไอ้นี่แหละ สุดยอด!!
- สีที่มีให้เลือกตอนนี้คือ สี Space Grey กับสี Silver ครับ
ตัวที่ผมได้รับมารีวิวคือ สี Space Grey ครับ ซึ่งมือถือหน้าจอ 5 นิ้ว ตอนนี้ก็เป็น Standard ของมือถือสมัยนี้ไปแล้วว่าทำมาขนาดนี้แหละ พอเหมาะที่สุดแล้ว ทั้งการใช้งาน การจับถือแล้วสะดวก แล้วหน้าจอความใหญ่ระดับนี้ก็เหมาะสมกับ Content ที่นำเสนอกันในยุคสมัยนี้
ฝาหลังดูหน้าตาดี คล้ายๆจะเหมือนโลหะ แต่จริงๆคือ พลาสติกที่เคลือบสาร Soft Touch ครับ จับแล้วหนึบๆ ดูเฟิร์มดีครับ เลนส์กล้องก็อยู่ตรงกลาง ส่วนด้านล่างก็ลำโพง สีสัญลักษณ์ WIKO สีเงินอยู่ข้างหลัง
ตัวบอดี้ด้านข้างเป็นเฟรมโลหะครับ ตอนแรกที่จับยังคิดว่า เอ๊ะ มือถือ 5,990 นี่ไม่น่าจะให้บอดี้โลหะนะ แต่ลองไปเช็คๆดู เฮ้ย ได้บอดี้โลหะแฮะ สำหรับ Port ในการเชื่อมต่อ ก็พื้นฐานทั่วไปครับ Micro USB อยู่ข้างล่าง / ช่องหูฟัง 3.5 มม อยู่ข้างบนตามสูตรสำเร็จของ Android ทั่วไป
ด้านขวาของตัวเครื่องคือ Volumn Control กับปุ่ม เปิด/ปิดเครื่องครับ วางตำแหน่งมาได้โอเคนะครับ ถ้าถือด้วยมือขวาก็ใช้นิ้วโป้งขวากดเปิดได้ถนัด ถ้าถือด้วยมือซ้ายก็ใช้นิ้วชี้ซ้ายกดเปิดได้ถนัดดี
ตัวถาดใส่ SIM เป็นแบบ Micro-SIM ครับ ซึ่งระบบรองรับ 2 SIM นี้เป็น 2 SIM แบบ 2 SIM แท้ๆ ไม่เหมือนมือถือสมัยนี้ที่มาเป็นแบบ Hybrid SIM ต้องมานั่งเลือกว่า SIM ที่ 2 จะเป็น SIM หรือเป็น MicroSD Card .. แต่นี่ทำมาให้รองรับทั้ง 2 อย่างเลย
Battery ที่ให้มาเป็นแบบ Lithium-Polymer แกะเปลี่ยนไม่ได้ ความจุ 2,500 mAh ครับ เอาจริงๆใช้งานวันนึงก็สบายๆได้อยู่
Accesories ที่ให้มาในกล่องนี่ได้มาเยอะเหมือนกันครับ อย่างแรกก็หูฟัง In-Ear พร้อมรีโมทควบคุม คุณภาพเสียง (เรียกว่าพอฟังแก้เหงาได้ละกันครับ ไม่ได้เทพอะไรมาก) แต่ที่ขอตินิดนึงคือ ไม่มีปุ่มคุมระดับเสียงบนรีโมทมาด้วยนี่แหละ
สาย Micro USB + หัวชาร์จแบบกลม อันนี้ก็ปกติ
มีฟิล์มกันรอย กับเคสใสมาให้ด้วยครับ เออ ดี ไม่ต้องไปเสียเวลาหาซื้อเพิ่ม แกะกล่องปั๊บก็แปะฟิล์มแล้วก็ใสเคสพร้อมใช้งานได้เลย
ใส่เคสแล้วก็จะหน้าตาเป็นแบบนี้แหละครับ
สำหรับคนที่มี SIM หลายขนาด ทาง WIKO ก็แถม SIM Converter มาให้ด้วย จะแปลงร่างเล็กไปใหญ่ หรือใหญ่ไปเล็ก ทำได้หมดครับ
ปริมาณแรมและ Storage ที่เหลืออยู่หลังจากที่ผมลงโปรแกรมพื้นฐานที่ผมใช้งานไปจนหมดครับ จะเห็นว่าแรม 3GB นี่มันช่วยให้เครื่องลื่นไหลมากเลย ส่วน Storage ก็เหลือมากถึง 20GB เลยทีเดียว
จริงๆแล้ว Smartphone ที่เป็น Android เนี่ย หลักๆแล้ว 60-70% ก็จะเหมือนๆกันทุกยี่ห้อ คือถ้าคุณไม่ชอบ Home Screen แบบนี้ก็ไปโหลดตัวอื่นมาใส่แก้เบื่อได้ ดังนั้น ผมอาจจะไม่ได้รีวิวในเชิง Technical Spec เหมือนคนอื่น อาจจะโชว์ Spec พื้นฐานให้ดูเข้าใจกันเท่านั้น แต่จะเน้นไปเลยว่า จุดเด่นของ WIKO U FEEL ที่มีแบบเจ๋งร้องว้าว มันมีอะไรบ้าง
มันมาพร้อม Android Mashmallow 6.0
ว่ากันตรงๆ สิ่งหนึ่งที่คนใช้ Android เบื่อกันมากก็คือ บรรดาผู้ผลิต Smartphone เจ้าที่ตัวเองใช้งานอยู่ไม่ออก Rom เวอร์ชั่นใหม่ซะที ขนาดใช้ยี่ห้อเกาหลีขายดีอันดับหนึ่งตัวท็อป บางทียังรออัพเดทกันนานข้ามปี จริงไหมครับ เจ้าพวก Smartphone ราคาหมื่นกว่าหลายตัวที่ออกขายกันในปีนี่ บางทียังส่งเครื่องมาเป็น Android Lollipop ที่เป็นเวอร์ชั่น 5 กันอยู่เลย ตอนนี้มือถือที่ใช้ Android Mashmallow ได้นี่แทบจะรับรุ่นกันได้ การที่ทาง WIKO รีบส่งเครื่อง U FEEL มาพร้อมกับรอม U FEEL Mashmallow 6.0 มาก็แปลว่าตัวเองมีทีมที่จะทำให้ ROM ของตัวเองเป็นเวอร์ชั่นใหม่ระดับนึงแล้ว ทำให้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า อนาคต มือถือ WIKO ที่เราใช้งานอยู่ คงไม่แพเราง่ายๆ
ทีนี้พอเป็น Android Mashmallow แล้วมันมีอะไรดีกว่าเวอร์ชั่นเดิมบ้าง
- รองรับ Google Now On Tap ระบบผู้ช่วยสั่งการทางเสียงของ Google ที่ทุกทีต้องเรียกข้อมูลผ่าน Google Now แต่ตอนนี้เรียกข้าม App ได้แล้ว
- ระบบ Cut/ Copy / Paste ข้อความแบบใหม่ที่ง่ายกว่ารุ่นเดิม บอกตรงๆว่าอย่างกะก็อปของ iPhone มาใช้ ฮ่าๆ
- ระบบค้นหาข้อมูลทางเสียงผ่าน Lock Screen .. ไม่ต้องปลดล็อคเครื่องก็ใช้ Google Now ช่วยค้นหาจากหน้า Lock Screen ได้เลย
- มีระบบ Update ด้าน Security โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถ Update จาก Google ได้โดยตรง ไม่ต้องรออัพเดทจากผู้ผลิต Smartphone ทำให้มั่นใจว่า Android ที่เราใช้งานอยู่ปลอดภัยมากกว่าเดิม
- App Permission แบบใหม่ที่คล้าย iOS ทำให้มีความปลอดภัยในเรื่องข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น
- มี Smartlock for Password ที่สามารถใช้เก็บตัว User/Password ของ App ต่างๆเข้า Google Account ได้ เพื่อทำให้คุณไม่ต้องมานั่ง Sign-in กันบ่อยๆ
- มีระบบ App Standby ช่วยให้ App ที่เราไม่ได้เรียกใช้งานหลับไปลึกๆไม่ต้องตื่นขึ้นมาแอบกินพลังงานที่อยู่ใน Battery ของเรา
จริงๆมีอีกเยอะ แต่แค่นี้ก็ถือว่าเป็นความสามารถโคตรเจ๋งของ Mashmallow แล้วครับ
ระบบ Fingerprint ขั้นเทพ
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ในหัวข้อ ว่าเจ้าระบบสแกนลายนิ้วมือของ WIKO U FEEL นี่มันโคตรเทพครับ จริงๆ ถ้าไม่อยาก ผมเล่าไว้ในวีดีโอแล้ว แต่ถ้าขี้เกียจดู ก็อ่านข้างล่างนี่เลยครับ
ความเร็วในการอ่าน Fingerprint เร็วมาก ใช้เวลาแค่ 0.48 วินาทีก็ปลดล็อคเครื่องได้ ระบบ Scan ลายนิ้วมือของ Android เนี่ย มันเริ่มมาจากแต่ละเจ้าพัฒนาตัวสแกนลายนิ้วมือกันเอง ทำให้ช่วงแรกๆ เราจะเจอตัวสแกนลายนิ้วมือที่ไม่แม่น ต้องรูดๆ ถูๆ อยู่หลายรอบกว่าจะเข้าเครื่องได้ ต่อมาทาง Google ก็ได้อัพเกรดตัว Android ให้รองรับการสแกนลายนิ้วมือเป็นพื้นฐานซึ่งจะใช้ได้ใน Android 6 Mashmallow นี่แหละครับ
ซึ่งความเร็วในการอ่านลายนิ้วมือของ WIKO U FEEL นี่เรียกได้ว่า เร็วเกือบเท่า iPhone6s ที่ผมใช้เป็นเครื่องหลักอยู่เลยครับ
การบันทึกลายนิ้วมือ เราสามารถบันทึกได้ 5 นิ้วด้วยกันครับ ถ้าให้ผมแนะนำนะ เพื่อความสะดวกในการปลดล็อคเครื่อง ผมแนะนำให้มีนิ้วโป้ง ทั้งซ้ายและขวา เพราะมันสะดวกสุด ที่เหลือก็เป็น นิ้วที่เราชอบได้เลย
แต่ไหนๆจะมีลายนิ้วมือไว้ปลดล็อค “เครื่อง” แล้ว เราเอาลายนิ้วมือมาทำอย่างอื่นด้วยดีกว่า นั่นก็คือ เอามาล็อค App / File ได้ครับ ซึ่งเจ้านี่ช่วยให้เราควบคุมคนที่จะ เปิด “App/File” ในเครื่องเราได้ครับ
เราคงจะเคยเจอเหตุการณ์ประมาณว่า เพื่อนหรือใครยืมมือถือไปใช้ แต่รู้สึกตัวอีกที เพื่อนเรามาแกล้งแผลงๆ ผ่านทาง Facebook เรา หรือมีข้อมูลส่วนตัว เช่นรูป หรือ Chat ที่เราไม่อยากให้คนอื่นมายุ่ง ระบบ App/File Lock สามารถล็อคด้วยลายนิ้วมือของเราได้ครับ เช่นถ้าผมล็อค Facebook เอาไว้ ถ้าใครจะเปิด App ขึ้นมา จะต้องใส่ลายนิ้วมือก่อน แต่ที่เจ๋งมากๆก็คือ มันมีระบบ Intruder Alert ด้วยครับ นั่นก็คือ ถ้าใครซนมาเปิด App ที่เราล็อคเอาไว้แล้วใส่รหัสผิด มันจะแอบถ่ายรูปด้วยกล้องหน้าเอาไว้โดยที่ไม่ให้คนที่แอบมาเปิดรู้ตัว และทันทีที่เรากลับมาเปิด App ที่มีคนมายุ่ง ระบบ Intruder Alert จะแจ้งเลยว่ามีใครซนบ้าง ฮ่าๆๆ
ส่วนระบบ File Lock ก็คือ การเอาไฟล์ที่เราไม่อยากให้ใครเห็นไปซ่อนครับ เช่นโดยที่จะเป็นไฟล์อะไรก็ได้ สมมติว่า มีรูปลับที่ไม่อยากให้ใครเห็นก็เอารูปนั้นไปเก็บไว้ใน File Lock ซะ ไฟล์นั้นจะไม่แสดงออกมาให้เห็นเลยครับ
ไหนๆ เราก็บันทึกได้ตั้ง 5 นิ้ว ก็ใช้ลายนิ้วมือเป็นปุ่มลัดในการเปิด App หรือ โทรหาใครก็ได้ครับ ทำให้เราเข้าถึง App ที่เราใช้บ่อยๆ จากหน้า Lock Screen ได้เลย ผ่านการแตะลายนิ้วมือที่เราใช้ปลดล็อคเนี่ยแหละครับ โคตรสะดวกเลย
นอกจากเป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือแล้ว เจ้าปุ่มนี้ยังทำความสามารถได้อีก 3 อย่างผ่านการสัมผัส สามรูปแบบครับ ซึ่งทาง WIKO เค้าเรียกเจ้าปุ่ม Home ตัวนี้ว่า 4 Way Navigation ครับ ทีนี้ ต้องเล่าเรื่อง 3 ปุ่มพื้นฐานของ Android ก่อน ใน Android สมัยใหม่ จะต้องมี 3 ปุ่มพื้นฐาน นั่นก็คือ Home / Back / Recent App ใช่ไหมครับเป็นสัญลักษณ์ สามเหลี่ยม วงกลม แล้วก็ สี่เหลี่ยมอย่างในรูป ซึ่งแต่ละยี่ห้อ ก็จะทำปุ่มนี้อยู่ในจุดที่ต่างกันไป บางเจ้าทำเป็นปุ่ม Soft Key ใช้กดบนหน้าจอ แต่บางเจ้าก็ทำเป็นปุ่มต่างหากออกมา ทีนี้ทาง WIKO เห็นว่า การทำปุ่ม 3 ปุ่มมาลอยบนหน้าจอแบบนี้ มันเสียพื้นที่ในการแสดงผลเป็นบ้าเลยแฮะ อยากเอาออก แต่ก็ต้องมีทางให้ผู้ใช้กดปุ่มพื้นฐานเหล่านี้ได้ด้วย
เค้าก็เลยทำให้เจ้าปุ่มสแกนลายนิ้วมือทำความสามารถ 3 ปุ่มพื้นฐาน Home / Back / Recent App ผ่านทางการกด 3 รูปแบบครับ
- เป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือที่ทำได้สารพัดอย่าง (อันนี้จากที่บอกไปตอนต้น)
- กดปุ่มลงไปลึกๆ 1 ที เป็นการกดกลับมาที่หน้า Home
- แตะเบาๆ 1 ที เป็นการ Back
- กดปุ่มค้างลงไป เป็น Recent App ครับ
แค่นี้เอง และเมื่อเราไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า 3 ปุ่มบนหน้าจอ หรือที่เรียกกันว่า Navigation Bar แล้ว เราก็ปิดมันทิ้งไปเลยก็ได้ครับ เพิ่มเนื้อที่หน้าจอในการใช้งาน WIKO U FEEL ของเราขึ้นมาอีกระดับนึงเลย
วาดหน้าจอเพื่อสั่งงาน
Feature วาดหน้าจอ เพื่อเรียกโปรแกรมนั้น อาจจะไม่ใช่ของใหม่สดซิงอะไร เพราะมีมาซัก 2 ปีแล้ว แน่นอนใน WIKO U FEEL ก็มีความสามารถ Smart Gesture ให้ด้วยครับ เราวาดบนหน้าจอเป็นรูปหรือตัวอักษรที่เราต้องการแล้วมันจะเรียกโปรแกรมที่เราตั้งค่าไว้ขึ้นมาให้
โดยที่จะมีค่า Default ให้อยู่ 3 ค่า
- วาดตัว O จะเปิดกล้อง
- วาดตัว M จะเปิด Music Player
- วาดตัว C จะเรียกหน้าจอโทรศัพท์ออกมา
ซึ่งเราเพิ่มเข้าไปได้เรื่อยๆครับ อยากได้รูปอะไรก็วาดเอาเลย วาดตัว F ไว้เรียก Facebook หรือวาดตัว L เพื่อเรียก LINE ก็ได้
ตั้งเวลา เปิด-ปิด เครื่องได้
ถึงแม้จะไม่ใช่ Feature ที่โดดเด่นอะไรมาก แต่เป็นของแปลกที่ผมไม่ค่อยเห็น Android ตัวไหนมีนะครับ สำหรับคนที่ต้องการนอนหลับอย่างเป็นสุข การตั้งเวลาเครื่องให้ ปิดไปเลย แล้วมาเปิดอีกทีตอนเราตื่นก็เป็นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกันนะ ทำให้เราหลับสบายไร้คนโทรกวนดีเหมือนกัน
ปิดท้ายด้วยผลการ Benchmark จาก ANTUTU ก็ได้คะแนนไปประมาณ 30,xxx คะแนน กดทดสอบประมาณ สามสี่ที คะแนนก็ไม่หนีจากนี้ซักเท่าไหร่ครับ ถ้าเทียบกับในชาร์ทลำดับมือถือแรงก็ประมาณอันดับที่ 27 นะ เรียกสมราคาแหละครับ
สรุปความรู้สึกหลังใช้งานมาประมาณ 2 อาทิตย์
- ประทับใจในระบบ Fingerprint ทำงานเร็วจนน่าตกใจ ถึงจะมี Scan แล้วไม่ผ่านบ้างแต่ก็ไม่อยู่ในระดับหงุดหงิด คือแตะอีกทีก็มาแล้ว
- ชอบ App/File Lock มาก โคตรรรอยากให้มีบน iOS เลย ฮ่าๆ
- ความเร็วในการใช้งาน ก็พอหอมปากหอมคอกับมือใหม่ แต่ถ้าเอาความรู้สึกของพวกมือถือสองหมื่นกว่ามาเทียบนะครับ มันคนละราคาแหม่
- กล้องมีสีเพี้ยนๆนิดหน่อย แต่เรื่องความเร็วในการโฟกัส กับ ความคมชัด ถือว่าโอเค
- ลำโพงอยู่ด้านหลังเครื่อง เวลาดูหนังต้องเอามืออังๆ ไว้เพื่อให้เสียงสะท้อนออกมา
- ความแม่นในการสัมผัสหน้าจอมีเหนื่อยๆนิดหน่อย ตอนพิมพ์ Keyboard ไทยนี่แหละ ผิดๆถูกๆ หรือเพราะไม่ชินกับ Keyboard ของ Android หว่า
- อยากให้มี WIFI ความถี่ 5Ghz ด้วย แต่ไม่มี