เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา @joyz แฟนผม เค้าได้ทำการ Surprise วันเกิดผม (ซึ่งจริงๆ ยังไม่ถึงหรอก) ด้วยการหาของที่ผมอยากจะลองเล่น แต่ไม่ยอมซื้อมาลองซะที นั่นก็คือ AirPort Extreme ครับ ซึ่งทันทีที่เค้ามา Surprise ด้วยของขวัญชิ้นนี้ ผมกริ๊ดตัวลอย วิ่งฮูเร รอบบ้านเลยล่ะครับ
ก่อนจะเล่าถึง Airport Extreme ต้องเล่าซักหน่อยว่า ไอ้ตระกูล Airport ของ Apple นี่มันคืออะไร
Airport คือซีรีส์อุปกรณ์เน็ตเวิร์คแบบไร้สายของ Apple ครับ โดยที่ Airport ตัวแรกนั้น ถูกเปิดตัวในงาน Macworld ปี 1999 ตอนนั้น Steve Job โชว์ iBook ตัวใหม่ ซึ่งข้างในนั้นมีการ์ดเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คแบบไร้สายมาตรฐาน 802.11b วางคู่กับ Airport Base Station
หลังจากปี 1999 มา Macbook Pro และ MacBook ก็รองรับอุปกรณ์ไร้สายมาโดยตลอด โดยที่มีเจ้า AirPort Base Station ก็เป็นเหมือนอุปกรณ์ Network ในบ้าน ทั้งเป็น Access Point และ Wireless Router และก็มีการเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น AirPort Extreme ไว้ใช้เป็นชื่อเรียกสำหรับ Wireless Router ที่ใช้งานในบ้านของ Apple และสำหรับรุ่นพกพา Apple จะเรียกว่า AirPort Express (ผมชอบ AirPort Express ตรงที่มันทำ Airplay ใช้รับเพลงจาก Mac , iOS ไปออกลำโพงที่เสียบกับ AirPort Express ได้นี่แหละ)
ซึ่งในงาน WWDC 2013 ปีล่าสุด Apple ก็ได้เปิดตัว AirPort Extreme ตัวใหม่หลังจากที่ใช้ตัวเดิมมาตั้งแต่ปี 2011 โดยเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาใน AirPort Extreme ตัวนี้ก็คือ
- รองรับมาตรฐาน 802.11ac ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กับอุปกรณ์ Wireless LAN ตัวล่าสุดสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 1,300 mbps เลยทีเดียว
- รองรับความถี่ 2.4ghz และ 5ghz
- เสาอากาศทั้งหมด 6 ตัว โดยที่ใช้กับความถี่ 2.4Ghz ทั้งหมด 3 เสา และ 5Ghz อีก 3 เสา
- ขนาดเล็กลงกว่ารุ่นเดิม ในแง่การวางบนโต๊ะนะครับ ทาง Apple บอกว่า พื้นที่หายไปถึง 4 ตารางนิ้วเลยทีเดียว
- มีเทคโนโลยี Beamforming ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ในการยิงสัญญาณชิ่งกำแพงให้ตรงมายังเครื่องเราได้ครับ
ร่ายความสามารถมาซะขนาดนี้ มาแกะกล่องกันดูหน่อยละกันครับ
กล่องเป็นกล่องทรงสูง จับแล้วดูไฮโซตามสไตล์ของ Apple วิธิเปิดก็แค่ดึงท่อนบนออกมา ก็จะพบ AirPort Extreme ยืนหัวโ่ด่อยู่ข้างในครับ
แกะออกมาแล้ว ก็ต้องพูดได้แค่คำว่า “มีแค่นี้จริงๆ” ตามสไตล์ Minimalism ของที่เหลืออย่างสายไฟ กับใบรับประกันก็อยู่ใต้แท่นวางตัว Airport Extreme
ของที่เหลือ มีแค่นี้ครับ คู่มือการติดตั้งกับสายไฟที่พันมาให้อย่างโคตรหน้าตาดี
ตัว AirPort Extreme ถูกห่อด้วยสติ๊กเกอร์สีขาว เมื่อเราลอกออกมา ก็จะเผยให้เห็นถึงเนื้อใน
Port ข้างหลังดังต่อไปนี้
- Gigabit LAN x 3
- USB 2.0 x 1
- Gigabit WAN x 1 (สามารถใช้เป็น LAN ก็ได้ ขึ้นอยุ่กับการ Setup)
- Power Adapter
- ปุ่ม Reset กลับสู่ Default Factory Setting
และเนื่องจากว่า AirPort Extreme เป็นแค่ Wireless Router เฉยๆ ดังนั้นถ้าเกิด Internet ที่บ้านของคุณเป็น ADSL คุณจะต้องมี ADSL Modem มารวมร่างกับเขาด้วยนะครับ
การ Setup AirPort Extreme สามารถทำได้ผ่านทาง App ที่ชื่อว่า AirPort Utility ซึ่งแตกต่างกับ Wireless Router ตัวอื่นๆมาก เพราะทุกตัวจะปรับแต่งด้วย Web Browser ทั้งหมด เรียกได้ว่า แค่เริ่มเปิดเครื่อง ผมก็เป๋ไปคนละทางแล้ว เพราะมันใช้วิธีที่ไม่เหมือนกับที่ผมเคยทำมาโดยตลอด
แล้วถ้าคนที่ใช้ Windows จะทำยังไง … คุณก็ต้องไปดาวน์โหลด AirPort Utility for Windows มาใช้ครับ
เมื่อเราเปิด AirPort Utility มันก็จะทำการตรวจสอบว่า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของเรา ทำกันอยู่ท่าไหน ซึ่งระบบ Auto ของมันฉลาดมากครับ ถ้าคุณไม่รู้อะไรเรื่อง Network ซักอย่างเดียว ทำตามมันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใช้ได้เองครับ
รอดูระบบ Auto มันทำงานหมุนติ้วๆไปซักพักนึง มันก็ไปคุ้ยชื่อผมว่าในเครื่อง Mac มาทำเป็นชื่อ Network Name ให้เฉยเลย เหลือแต่รอเราใส่รหัสผ่านไปอย่างเดียวก็พอ เฮ้ย!!
ถ้าไม่ชอบใจก็ Setup ชื่อใหม่ลงไปได้ …แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย แต่ถ้าคุณมีความรู้ด้าน Network แล้วอยากปรับแต่งเองมาดูกันว่า AirPort Extreme มันปรับอะไรได้บ้างครับ (ซึ่งน้อยชิปเป๋ง)
เปลี่ยนโหมดจาก Bridge Mode เป็น NAT Mode ก็ได้ ทำ DHCP Reservation เพื่อจอง IP Address สำหรับอุปกรณ์ต่างๆก็ได้ ทำ Access Control ของอุปกรณ์ต่างๆว่าให้ต่อ Internet ได้ ตามเวลาที่กำหนดก็ได้
มีความสามารถ Back to My Mac ที่เอาไว้ Remote กลับมายังเครื่อง Mac ที่บ้านของเรา ได้ง่ายๆโดยใช้แค่ Apple ID พูดถึงสะดวกมันก็สะดวกนะ แต่คนที่ไม่มี Mac ก็อดใช้ความสามารถนี้ไป
ในส่วนของ WAN สามารถเซ็ตให้รองรับ Internet ได้ 3 แบบ คือ DHCP , Static แล้วก็ PPPoE ที่เอาไว้เชื่อมกับ ADSL ครับ
DHCP เป็นส่วนที่คนที่ไม่รู้ Network งงกันอยู่เสมอ ใน AirPort Extreme จะมี Range ง่ายๆให้ใช้กันได้เลย
ในส่วนของ Wireless ก็สามารถสร้างชื่อ SSID แล้วก็เลือกมาตรฐานของ Network Key ได้เหมือน Router ยี่ห้ออื่น แต่ในหน้านี้จะมีส่วนให้เราทำ Extend Network (Repeater กับ Wireless ตัวอื่น) แบบง่ายๆได้อีกด้วย แถมยังมีระบบ Guest Network เพื่อเอาไว้ให้แขกที่มาบ้านเราใช้งาน โดยที่จะไม่เห็น Internal Network ที่มีอุปกรณ์ต่างๆของเราใช้งานอยู่ครับ (เล่น Internet ได้อย่างเดียวนั่นแหละ)
ตัว WIFI ที่เป็นความถี่ 5Ghz จะต้องมาเปิดต่างหาก โดยที่เราก็สามารถเลือก Channel Network ของทั้ง 2.4Ghz และ 5Ghz ได้ครับ
เท่าที่ดูความสามารถ ถ้าเอาไปเทียบกับ Wireless Router ตัวอื่นจะเห็นว่า ขาดความสามารถนึงที่จำเป็นมากนั่นก็คือ Port Forwarding ครับ เป็นความสามารถที่เราจะส่งข้อมูลจาก Internet กลับมายังที่บ้านเราแล้วให้ส่งต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆใน Network ของเรา ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่เลยสำหรับคนที่มีระบบกล้องวงจรปิดที่บ้าน แล้วอยากจะดูกล้องผ่านทาง Internet ได้ครับ
เจอ Port Forwarding แล้วครับ ขออภัยที่ผมดูไม่ทั่วเลยหาความสามารถนี้ไม่เจอครับ
แต่ความสามารถที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ Beamforming ครับ ความสามารถนี้มันดีจริง
เสาอากาศที่ใช้กันในระบบ Wireless LAN จะมีกันอยู่ 2 แบบครับ คือ OMNI กับ YAGI
OMNI จะเป็นเสาอากาศแบบกระจายรอบทิศทาง ส่วน YAGI ก็จะเป็นเสาอากาศแบบพุ่งตรงไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
แบบ OMNI มีข้อดีตรงที่ว่า ขอให้อยู่ตรงไหนของรัศมีการปล่อยสัญญาณเราก็รับได้ แต่มีข้อเสียคือ อำนาจการทะลุทะลวงของสัญญาณต่ำถ้าโดนกำแพง หรืออะไรขวางก็หมดแรงแล้ว
ส่วน YAGI ก็ทะลุทะลวงได้ดีมากแถมส่งได้ไกลสุดๆ เรียกได้ว่า 20 กิโลเมตรก็ส่งได้สบายๆ แต่มีข้อเสียคือ ถ้าไม่ได้อยู่ในระยะเสาที่ยิงก็จะไม่ได้รับสัญญาณเลยครับ
เทคโนโลยี Beamforming ก็คือ ความสามารถที่ใช้เสาอากาศ เสาที่ 3 ของเครือข่ายในการเป็นหู เพื่อฟังสภาวะของห้อง ที่ตัวอุปกรณ์มันกำลังทำงานอยู่ครับ มันจะส่งคลื่นวิทยุเป็นเหมือนเรดาห์ แล้วมันก็จะรู้ได้ว่า อุปกรณ์ที่ทำการเชื่อมต่อสัญญาณของมันอยู่ตรงไหนกันบ้างแล้วก็จะมีการปรับการยิงสัญญาณ Wireless ให้ตรงอุปกรณ์รับได้โดยที่มีอัตราการทะลวงสูงมากๆครับ
พูดง่ายๆก็เหมือนเอา OMNI กับ YAGI มารวมร่างกันนั่นเองครับ
ซึ่งผมได้ทดสอบด้วยตัวเอง ก็คือ ผมเคยใช้ Wireless Router ตัวก่อนๆที่ไม่มีความสามารถ Beamforming พบว่า เวลาไปนอนเล่นในอ่างอาบน้ำ ถึงจะจับสัญญาณ Wireless LAN ได้ แต่ก็เล่นไม่ได้ บางทีมีหลุดด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่ห้องอาบน้ำกับ Wireless Router อยู่ห่างกันไม่ถึง 4 เมตร แต่เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ประมาณ 3 ชั้นได้ สัญญาณ Wireless LAN มันก็เลยหายหมด
แต่พอเปลี่ยนเป็น AirPort Extreme ปรากฏว่า ผมสามารถนอนแช่น้ำเล่น iPad ได้อย่างมีความสุขที่สุดเลยครับ ฮ่าๆ
สรุปกับ AirPort Extreme สั้นๆ
- เป็น Wireless Router ที่ ง่าย และ ง่อยด้าน Networ Feature เพราะไม่มี Feature อะไรให้เล่นเลย แต่ด้วยความง่ายทำให้ใครเซ็ตก็ได้
- ใส่เทคโนโลยีแบบจัดเต็ม สำหรับ User ล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็น 802.11ac หรือ Beamforming
- ให้ LAN มา 3 Port ไม่พอใช้อ่ะ คนอื่นเค้าให้มา 4 Port หมดทุกยี่ห้อนะ
- ไม่ได้หน้า Config ผ่าน Browser เวลาคับขันจะทำยังไงฟระ
แต่ราคา 6,200 บาท กับ Beamforming .. แค่นี้ก็โคตรคุ้มแล้ว
21 comments