วงการ Printer ของบ้านเรา ถือว่าเป็นวงการ Printer ที่เพี้ยนมากที่สุดวงการหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ นั่นก็คือ ทุกคนจะโดนสะกดจิตคิดว่า หมึกแท้มันแพง ถ้าจะพิมพ์ก็ต้องไปติด Tank .. ใช้หมึกเทียม แล้วก็ใช้งานได้อย่างสบายใจ ทั้งๆที่วันๆนึง อาจจะพิมพ์แค่ไม่กี่แผ่น บางคนซื้อ Printer ที่ติด Tank มา จนบัดนี้ ยังพิมพ์ไอ้หมึกขวดแรกไม่หมดเลย ผมเองก็คนนึงล่ะ ที่เคยซื้อ Printer ติด Tank แล้วเอามาแช่ไว้ เพราะแทบไม่ได้พิมพ์อะไร สุดท้ายก็หัวตันแล้ว Multifunction Printer ตัวละ 7,000 บาทก็กลายเป็นแค่ Scanner ง่อยๆตัวนึง เพราะเอาไปซ่อมแล้วไม่คุ้ม..
ก็อย่างที่บอกไปตอนแรก ว่า ที่คนหันไปติดหมึก Tank ก็เพราะว่า หมึกแบบตลับที่ขายมากับผู้ผลิตมันแพงจริงๆ ตลับนึง 500-800 บาท คำนวนอัตราค่าพิมพ์ต่อแผ่นบางทีตกแผ่นละ 2-3 บาทกันเลยทีเดียว แต่มันก็มีสาเหตุอยู่ว่าทำไมหมึกแท้มันแพงครับ
- หมึกแท้ส่วนใหญ่มาแบบตลับ ค่าผลิตมันสูง เลยทำให้แพง
- พอเป็นตลับก็เลยทำให้ใส่ปริมาณหมึกได้น้อย มันก็เลยแพง
- และเนื่องจากตอนนี้ผู้ผลิตไม่อยากจะเอากำไรจากค่าเครื่องกันเลย ก็เลยกดราคาเครื่องพิมพ์ให้ถูกมากๆ ในขณะเดียวกันก็พยายามสร้างกำไรจากค่าหมึกแทน
สาเหตุที่มันต้องเป็นตลับไม่ใช่อะไรมากหรอกครับ เพราะทางผู้ผลิตอยากให้เปลี่ยนหมึกกันได้ง่ายๆไม่เลอะมือนั่นแหละ ลองนึกว่า ทำเครื่องพิพม์มาแล้วต้องมาเติมหมึกกันแบบเติมน้ำใส่ถังแล้วมือเลอะกันทุกวัน คนก็คงไม่ชอบใช่ไหมล่ะครับ นั่นแหละ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตต้องขายหมึกกันเป็นตลับ
แต่ไปๆมาๆ คนเราก็ทนค่าหมึกแบบตลับกันไม่ได้ ก็เลยหันไปหาวงการ Tank แทน เพราะค่าหมึกถูกกว่า แถมยังสามารถหาหมึกคุณภาพไม่ต้องดีมาก เพื่อมาพิมพ์เอกสารแบบขอไปทีก็ได้ด้วย ต้นทุนต่อแผ่น แทบจะต่ำขนาด 10 – 20 สต / แผ่นกันเลยทีเดียว แต่ก็ต้องแลกกับข้อเสียเปรียบหลายเรื่องด้วยกันครับนั่นคือ
- เครื่องพิมพ์ต้องนำไปผ่าพันธุกรรมใส่ถังหมึกเข้าไป ดังนั้น จะไม่มีประกันจากศูนย์ เหลือแค่ประกันจากร้านเท่านั้น ซึ่งจะได้ร้านดี หรือ ไม่ดี อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ บุญกรรมที่สะสมมานะครับ
- ไม่สามารถแก้ไขด้วย โปรแกรมบางตัวในเครื่อง เช่นถ้าเกิดหัวหมึกตัน ไม่สามารถใช้คำสั่งล้างหัวได้ (ในบางรุ่น) ก็ต้องส่งร้านกันอย่างเดียว
- เติมหมึกกันเอง (อันนี้ผมว่าก็แล้วแต่นะ บางคนก็ชอบการที่ได้ทำอะไรเอง แต่กับสาวๆส่วนใหญ่ หลายๆคนก็ไม่อยากให้มือเปื้อนเพราะไปทำเล็บมา อะไรแบบนี้)
- หัวฉีดตัน เพราะใช้หมึกไม่ค่อยได้คุณภาพ ทำให้หัวฉีดแห้งง่าย ถ้าไม่ได้พิมพ์บ่อยๆ สำหรับผม โดนปัญหานี้บ่อยสุด เพราะวันๆนึงพิมพ์น้อยมาก
ทาง EPSON เค้าก็เลย เล็งเห็นว่า ท่าทางคนเราจะรับได้กับการที่ไม่ต้องมานั่งใช้ระบบตลับในเครื่องพิมพ์แล้ว เค้าก็เลยชิมลางออก Printer รุ่น TANK แบบของแท้จาก EPSON ที่แก้ไขปัญหาจากการใช้งานแบบผ่าพันธุกรรมภายใต้ Series ที่ชื่อว่า Epson L-Series ครับ
ซึ่งรุ่นที่ผมได้มาทดสอบในวันนี้คือรุ่น L355 เป็น Multifunction ที่รองรับความสามารถ Print / Scan / Copy และยังสามารถทำงานผ่าน WIFI ได้อีกด้วย มาดู Spec คร่าวๆกันก่อนนะครับ
Printer EPSON L355
- เครื่องพิมพ์ระบบ Inkjet ความละเอียดสูงสุด 5,760 x 1,440 dpi
- ความเร็วการพิมพ์ ขาว-ดำ แบบทั่วไปอยู่ที่ 33 แผ่นต่อนาที
- ความเร็วในการพิมพ์รูป แบบ Draft อยู่ที่ 27 วินาที / รูป
- ความเร็วในการพิมพ์รูปแบบสูง อยู่ที่ 69 วินาทีต่อรูป
- ใส่กระดาษได้สูงสุด 20 แผ่น
- รองรับการพิมพ์ 2 หน้า (แบบ Manual กลับกระดาษเองนะจ๊ะ)
- ความเร็วในการ Copy เอกสาร ขาว-ดำแบบทั่วไป : 5 วินาที / แผ่น
- ความเร็วในการ Copy เอกสารสี แบบทั่วไป : 10 วินาที / แผ่น
- Scanner ความละเอียดสูงสุด : 600 x 1200 dpi
- รองรับการพิมพ์กระดาษแผ่นใหญ่สุดที่ 8.5″ x 44″
- ใช้งานได้ตั้งแต่ Windows XP – Windows 8 , รองรับ Mac OSX จนถึง 10.7
แกะกล่องออกมา สภาพอยู่ในลักษณะโดน Seal ไว้รอบตัว แข็งแรงดี อย่างน้อยตอนแกะกล่องออกมาก็มั่นใจว่า ไม่น่าจะมีชิ้นส่วนไหนหลุดครับ แค่ตอนไล่แกะเทปพวกนี้ ผมยังเหนื่อยเลยเพราะ Seal เอาไว้เยอะมาก
มาพร้อมหมึกสำหรับพิมพ์อีก 6 ขวดด้วยกัน มันคือ 4 ขวดหลัก ได้แก่ สี CMYK แล้วก็แถมหมึกดำให้อีก 2 ขวดครับ ตาม Spec เนี่ย สามารถพิมพ์ ขาว-ดำได้ถึง 4,000 แผ่นต่อขวด และ พิมพ์สีได้ 6,500 แผ่น / เซ็ตสีชุดนึงเลยล่ะครับ
การใช้เครื่องพิมพ์แบบ Tank ควรอ่านคู่มือก่อนนะครับ ขั้นตอนมีอยู่ประมาณ 10 ขั้นตอนได้ ในการเติมหมึกทั้ง 4 ขวด บวกกับเปิดระบบให้เครื่องพิมพ์ดูดหมึกเข้าไป ใช้เวลารวมๆกันประมาณ 20 นาที เครื่องนี้ก็พร้อมทำงานแล้วครับ [คุณต้องอ่านคู่มือนะครับ ผมขอเตือน]
โฉมหน้า Tank ที่ทาง EPSON ทำเอง ประกอบดูแน่นหนาดีครับ เพราะเป็น Frame ที่ทาง EPSON ขึ้นมาเองเลย อันนี้พวกเครื่องพิมพ์ติด Tank เองบางเจ้าเค้าใส่ เทปกาวสองหน้า ซึ่งถ้าผ่านไป 1-2 ปี เทปกาวก็จะแห้งแล้วก็หลุดออกมานะครับ
เมื่อเราใส่หมึกเสร็จแล้วประกบเข้าไป จะมีหน้าตาแบบนี้ครับ บอกตามตรง ขนาด EPSON ทำขวดอย่างดี + ระบบป้องกันหมึกกระฉอกมาให้ มือผมยังเลอะเลย แล้ว Tank ทั่วๆไปนี่ก็คงเลอะไม่แพ้กัน เข้าใจแล้วทำไมเค้าถึงให้เราใช้หมึกแบบตลับ
เดินสายจาก Tank มายังหัวฉีดอย่างดี (บางเจ้าเดินไม่ดีจะมีอาการหมึกตันนะครับ เพราะสายมันไปทับกัน)
ปุ่มควบคุมของเครื่องนี้ครับ ก็มีเปิดเครื่อง / ต่อ Wifi / Copy สีและขาวดำ แล้วก็ปุ่มเช็คสถานะหมึกครับ อ้อ เมื่อเราใส่หมึกเข้าไปครั้งแรก เราจะต้องเปิดเครื่องแล้วก็กดปุ่มเช็คหมึกค้างไว้ 3 วินาที เพื่อให้เครื่องเริ่มขั้นตอนการดูดหมึกเข้าไปครั้งแรก ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีครับ
และอีกจุดนึงที่เป็นตัวป้องกันหมึกหกระหว่างขนย้ายครับ ทาง EPSON เค้าจะทำปุ่มบิด เปิด ปิด หมึกในถังมาให้ ป้องกันหมึกกระฉอกขณะขนย้ายนั่นเอง
เมื่อประกอบเสร็จแล้ว ก็จะมีหน้าตาแบบนี้แหละครับ
หลังจากที่ผมเอามาติดตั้งกับคอมพิวเตอร์แล้วก็ลองติดตั้ง Driver จะมีข้อสังเกตเล็กน้อย นั่นก็คือ อย่าเสียบสาย USB เข้ากับเครื่อง PC จนกว่า โปรแกรมติดตั้งจะบอกให้เสียบ ซึ่งก็เป็นขั้นตอนปกติของการติดตั้ง Driver นั่นแหละครับ และเมื่อเสียบ USB ให้เครื่อง PC กับ Printer รู้จักกันแล้ว ผมยังชอบอีกเรื่องนึงของ EPSON Printer ครับ นั่นก็คือ มัน Auto Update Firmware ของ Printer ให้เลยครับ ฮิ้วววว
ตัว Driver ของ EPSON ก็จะมีตัวจัดการ งานพิมพ์ซึ่งจะมี Profile ในการสั่งงานพิมพ์พื้นฐานมาให้ครบถ้วน ทั้งพิมพ์ปกติ , ประหยัดหมึก , ความละเอียดสูง , สีหรือขาวดำ ก็มีให้ครบ หรือ Profile ที่จะพิมพ์แบบ 2 หน้ากระดาษก็มีมาให้ด้วย ทำให้เราสามารถพิมพ์เอกสารในแบบมที่เราชอบโดยที่ไม่เสียเวลามาก
นอกจากการทำงานผ่านสาย USB แบบปกติแล้ว ยังสามารถให้ Printer EPSON L355 ตัวนี้เชื่อมกับ Wireless LAN แล้วให้ทำงานเป็น Print Server ในองค์กรแบบง่ายๆได้เลย และที่แจ๋วไปกว่านั้นคือทาง EPSON ก็มี App ใน iPhone , iPad ที่ชื่อว่า Epson iPrint ให้เราโหลดเพื่อสามารถสั่งพิมพ์จาก Smartphone , Tablet ที่เป็น iOS และ Android ได้อีกด้วยครับ
ทดสอบคุณภาพงานพิมพ์จาก EPSON L355 ครับ
ถึงแม้ว่าจุดเด่นของการใช้ Printer แบบ Tank จะอยู่ที่ ความถูกของการพิมพ์ต่อแผ่นของเอกสาร แต่คุณภาพก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้นะครับ ผมก็เลยทดสอบพิมพ์ภาพความละเอียดสูงจาก Printer EPSON L355 เทียบกับ Printer ที่ไม่บอกยี่ห้อ แต่เอาไปติด Tank มา ราคาใกล้ๆกับ EPSON ตัวนี้เลยครับ โดยภาพที่ใช้คือ ภาพนี้ครับ
พิมพ์ด้วยความละเอียดสูงสุด เท่าที่ Printer ทั้ง 2 รุ่นจะพิมพ์ได้ บนกระดาษ A4 ธรรมดา เพื่อที่จะดูความละเอียดของการฉีดหมึกด้วย ภาพทางซ้ายพิมพ์จาก EPSON L355 และทางขวาเป็น Printer ติด Tank โมดิฟายเองแบบปกติที่ขายกันตามร้าน
ดูจากสีตรงนี้ก็รู้แล้วว่า คุณภาพต่างกันขนาดไหน โอววว
ส่วนรูปนี้ เป็นการทดสอบพิมพ์เอกสารสีครับ ข้างบนเป็นของ Tank ทั่วไป ข้างล่างเป็นของ EPSON L355 สังเกตตรงตัว P ขอบจะไม่ค่อยเนียนแล้วก็รูปโลโก้ Windows .. สีของ EPSON จะสดกว่าเยอะ ซึ่งก็ถือว่า คุณภาพดีต่างจากพวก Tank ทั่วไปเลยทีเดียว
จากที่ลองทดสอบใช้งานมาซักพัก ผมพอจะสรุปได้คร่าวๆว่า คนกลุ่มไหนที่เหมาะกับ EPSON L355 ตัวนี้
นั่นก็คือกลุ่มคนที่ เน้นพิมพ์งานจำนวนมาก แต่อยากให้เอกสารที่พิมพ์มีความคม ความสวยงาม อยากประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่ได้เขียมขนาดจ่ายไม่ได้เลย โดยรวมๆแล้วก็น่าจะเป็น Office ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางที่ทำงานเอกสาร ทั่วๆไป และแชร์การใช้งานกันหลายๆคนเพราะสามารถสั่งพิมพ์งานผ่าน Wifi ได้
EPSON L355 พึ่งเปิดตัวไม่นานนี้นะครับ ใครที่มีลักษณะการพิมพ์ใกล้ๆกับที่ผมเกริ่นมาข้างบน ก็ลองพิจารณาดูไว้ก็ได้ครับ เผื่อเป็นทางเลือกในการซื้อ Printer ที่หมึกไม่แพง แต่คุณภาพยังดีเหมือนเดิมอยู่ แถมยังมีประกันจาก EPSON อีกด้วย
ผมใช้ L350 ครับ บอกเลยว่าคุณภาพการพิมพ์ดีมาก ประหยัดมาก ซื้อมากมีหมึกสี 1 ชุด และหมึก 2 ชุด ซึ่งหากหมึกหมด ราคาหมึกก็ไม่แพงครับ …. กำลังมองรุ่นนี้มาใช้อีกเครื่อง เห็นมี app ทั้ง ipad และ android