ตัวผมเองเป็นคนชอบดูหนังมากๆ เข้าโรงหนังไปหาหนังดีๆดูเป็นประจำและผมเชื่อว่าหลายๆคนก็ชื่นชอบการดูหนังเช่นเดียวกัน โดยที่เมื่อก่อนนี้การดูหนังดีๆใหม่ๆ จะต้องไปดูโรงภาพยนตร์เป็นหลัก ส่วนทางทีวีเนี่ย รอนานทีปีหนกว่าจะเอาหนังดีๆมาฉาย ซึ่งตอนหลังๆ พอมี Cable TV หนังดีๆ ก็ได้มีโอกาสกลับมาดูมากหน่อย แต่ก็ยังต้องรอกันซักพักอยู่ดีกว่าจะเอาหนังที่เราอยากจะดูกลับมาฉาย
ส่วนใครที่มีระบบ Home Theater ที่บ้าน ก็เสพสุขกับการใช้แผ่นในการชมภาพยนตร์กันไป จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี่ รูปแบบการชมภาพยนตร์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แผ่นหนังเริ่มขายได้ไม่ดี เพราะคนหาโหลดกันทาง Internet มากขึ้น ทางด้านเจ้าของลิขสิทธิ์หนังพบว่า ขืนปล่อยให้การดูหนังเถื่อนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ท่าทางวงการหนังจะพินาศแน่ๆ ก็เลยกระโดดมาพัฒนาและขายสิทธิ์หนังให้ชมกันผ่านออนไลน์มากขึ้น
เว็บที่ให้บริการดูหนังแบบ Streaming มีหลายเว็บด้วยกัน โดยที่คิดบริการเป็นลักษณะของการชมแบบรายเดือน ถ้าเป็นของต่างประเทศก็มี Hulu , Amazon Prime หรือ Netflix .. ซึ่ง Netflix นี่ดังมากๆขนาดกลายร่างเป็นบริการที่ติดอยู่กับ ระบบ Home Theater , Game Console หรือทีวีหลายๆเครื่องเลยทีเดียว เรียกได้ว่า เครื่องไหนรองรับระบบ Netflix ค่อนข้างมั่นใจว่าขายดีแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม เราซึ่งอยู่ในประเทศไทยเนี่ย ไม่มีสิทธิ์ไปใช้บริการ Video Streaming ของต่างประเทศครับ สาเหตุก็เพราะว่า สิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์นั้น เค้าให้กันเป็นโซนครับ เหมือนก่อนหน้านี้ที่เครื่อง DVD จะมีกลายล็อคโซนห้ามเล่นหนังของโซนอื่นๆ มันก็เกิดจากสาเหตุนี้แหละครับ เช่นเดียวกัน Netflix เองก็ได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายหนังเรื่องนั้นๆ ภายใต้โซนของตัวเองเท่านั้นแหละครับ
อย่างไรก็ตามตอนนี้คนไทยเองก็มีบริการ Video Streaming กับเค้าแล้วเหมือนกันซึ่งก่อนหน้านี้จะแถมมากับพวกกล่อง Internet TV ทั่วๆไป แถมหนังที่ให้บริการจะเป็นหนังโคตรเก่า เกรด B หรือ เกรด C อีกด้วย กดดูแล้วหมดอารมณ์มากๆ แต่ตอนหลังบริการ Video Streaming เริ่มเห็นแล้วว่า เราจะลงทุนแบบกากๆ ไม่ได้อีกต่อไป เพราะอุตส่าห์ลงทุนทำระบบทั้งที ขืนเอาหนังห่วยๆมาใส่ คนก็ไม่กดดูอยู่ดี ดังนั้นบริการ Video Streaming ที่เกิดมาในช่วงปีหลังๆ ก็เลยพยายามหาหนัง Blockbuster เกรด A มาใส่เพื่อกระตุ้นให้คนอยากมาใช้บริการ
โดยที่เจ้าที่ได้ยินชื่อกันบ่อยหน่อยก็คือ Doonee , Hollywood HD หรือที่พึ่งเปิดตัวล่าสุดอีกเจ้าก็คือ Prime time ครับ
บริการ Video Streaming มีข้อดียังไง ลองมาดูกันทีละข้อ
ดูแบบบุฟเฟ่ต์ มีแรงดูเท่าไหร่ก็ดูไป
คนไทยเราเป็นมนุษย์แบบบุฟเฟ่ต์นิยม จ่ายเงินก้อนใหญ่ได้ ขอให้ดูได้คุ้มๆ ซึ่งทางผู้ให้บริการเหล่านี้ก็จะ มี Package รายเดือนประมาณ 200 – 300 บาท เพื่อให้เราเข้าไปดูหนังเทพๆได้เต็มเหนี่ยว ซึ่ง ค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ก็ยังพอควบคุมได้ เช่น ถ้าเป็นเด็กปิดเทอม ก็อาจจะซื้อซัก 2-3 เดือน เพื่อดูให้เต็มคราบ พอเปิดเทอมก็อาจจะไม่ต้องซื้อแล้วก็ได้ อะไรแบบนี้ ผมเองก็มี Account ของทั้ง Doonee , Hollywood HD และ Prime time อยู่ทั้ง 3 เจ้า เพื่อเอามาทดสอบใช้งาน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าช่วงนี้อยากดูอะไร ก็ไปจ่ายของค่ายนั้น
ไม่จำเป็นต้องเก็บแผ่นอีกต่อไป
เมื่อก่อนผมเองมีชุด Home Theater ก็ต้องมานั่งเก็บแผ่น DVD ของหนังเรื่องที่ชอบ มีแผ่นมหาศาลเต็มตู้ อยู่ดีๆ เทคโนโลยีเปลี่ยนไปสู่ Bluray .. อ้าวชิปหายย แผ่นเทพๆ จากที่เคยเป็นของสะสม อยู่ดีๆ กลายเป็นของเก่าเฉยเลย ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าต้องไล่เก็บ Bluray อีก เดี๋ยวพอเทคโนโลยีใหม่มา ก็ต้องมาเก็บใหม่อีก ไม่เอาดีกว่า เปลี่ยนเป็นสะสมไฟล์แทน ก็ดั้นด้นไปหาโหลดหนังมาตั้งเยอะแยะใส่ NAS (Storage บน Network แบบนึง) ขนาด 8TB .. เก็บมาแปร๊บเดียว เต็มแล้ว แถมไอ้ที่เก็บมาเนี่ย พอกดดูจบ กว่าจะอยากดูอีกรอบ นู้นนนนนนอีก 2-3 ปี กลายเป็นว่า ตอนนี้ Harddisk ไม่พอจะเก็บไฟล์ กลับมาปัญหาเดิมอีกครั้ง
สุดท้าย บริการ Video Streaming นี่ก็ตอบโจทย์และ ผมพบว่า ถ้าผมอยากจะดูหนังเพื่อความบันเทิงง่ายๆ ไม่ต้องเสพระดับภาพโคตรคม เสียง Surround รอบทิศทาง ชนิดหมาเกาตูดยังรู้ว่าอยู่ตรงไหน ย้ายมาใช้บริการ Video Steaming ง่ายกว่าเยอะเลย
ดูที่ไหนก็ได้
พอโลก Internet เร็วขึ้น นิสัยเสียๆของคนก็อัพเกรดตามไปด้วย นิสัยเสียๆนั้นก็คือ รอไม่ได้ครับ … ผมเชื่อว่าหลายๆคนเป็นนะ อยากได้ข้อมูลเลย อยากดูเลย อยากรู้เลย อยากฟังคำตอบเร็วๆเลย อยากเจอเลย อะไรแบบนี้ นี่แหละนิสัยเสียที่อัพเกรดขึ้นของคนยุค Internet รุ่งเรือง กลายเป็นว่า บริการ Video Streaming จะต้องทำระบบให้รวดเร็ว บวกกับทำ App ใส่ Smartphone หรือ Tablet เพื่อให้ลูกค้าสามารถดูได้ทุกที่ จะบนรถ ในห้องเรียน ห้องนอน ห้องส้วม หรือที่ไหนก็ต้องกดดูได้ ครึ่งนึงก็ต้องมอบความดีความชอบให้กับ ISP หรือ Mobile Operator ที่ทำให้เรามี 3G/4G กับอินเทอร์เน็ตแรงๆใช้กันทั่วเมืองขนาดนี้ (ถึงแม้บางพื้นที่จะเหี่ยวเฉาซักหน่อยก็เถอะ)
นำไปฉายขึ้นจอใหญ่ผ่านอุปกรณ์ที่ราคาไม่แพง
ตอนนี้ทั้ง iOS และ Android มีระบบ screencast ที่มีคุณภาพมากแล้ว นั่นก็คือ Apple TV และ Chromecast นั่นเอง เพื่อที่จะให้อุปกรณ์ของตัวเองสามารถส่งภาพออกไปยังทีวีจอใหญ่ของบ้านได้ผ่านเครือข่าย Wireless LAN โดยที่คุณภาพของภาพและเสียงนั้นแทบไม่กระตุกเลย
ผมแนะนำให้คุณมีอุปกรณ์พวกนี้ติดบ้านเอาไว้ เพราะมันจะทำให้อรรถรสในการชม Video Streaming เพิ่มขึ้นอย่างมาก คนที่ใช้ Android เนี่ยไม่เท่าไหร่เพราะ Chromecast มันอันละพันกว่าบาท (ไม่มีขายอย่างเป็นทางการในไทย ส่วนใหญ่หิ้วจากสิงค์โปร์กัน หาใน Internet ได้เลยครับว่าเจ้าไหนหิ้วกันมาบ้าง) แต่สำหรับคนที่ใช้ iOS ก็อาจจะจุกเล็กน้อยเพราะ Apple TV มันราคาประมาณ 4,500 บาท (น้ำตาจะไหล)
อย่างไรก็ตามบริการ Video Streaming ก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักในการสู้รบปรบมือกับระบบหนังเถื่อนที่ปล่อยโหลดกันอย่างโจ๋งครึ่มกันอยู่ตอนนี้ โดยส่วนตัวผมอยากจะขอให้ทุกคนมาช่วยกันสนับสนุนของถูกกฏหมายดีกว่าครับ ช่วงแรก หนังอาจจะน้อย ค่าบริการอาจจะแพง แต่มันเป็นแค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละครับ ถ้ามีคนใช้บริการเยอะๆ บรรดาผู้ให้บริการทั้งหลายก็ต้องทำราคาแข่งกันเพื่อดึงดูดคนเข้ามาในระบบ เหมือนกับค่ามือถือสมัยก่อนที่จ่ายกันหลายพัน ตอนนี้เดือนนึงเหลือ 300-400 บาทเองอะไรแบบนี้
ตอนนี้ผมกดซื้อ Primetime มา 1 เดือนแล้วเพื่อทดสอบระบบ เดี๋ยวใช้บริการเสร็จ หาข้อดี ข้อด้อย แล้วจะมารีวิวให้ดูใน Blog ถัดไปนะครับ