New Macbook Pro … เครื่อง Macbook Pro รุ่นล่าสุดที่ Apple ออกมาแทนรุ่นเก่าที่ไม่เปลี่ยนโฉมเลยประมาณ 4 ปีกว่าๆ ได้ ตอนที่เปิดตัวมีแต่คนกริ๊ดอยากจะได้ อยากจะได้ แต่พอเห็นราคาแล้วหลายคนก็หงายหลังเป็นแถบๆ ผมเองก็เป็นคนที่ใช้ Mac มาหลายรุ่น รุ่นล่าสุดก่อนที่จะซื้อเจ้า New Macbook Pro มาใช้ก็คือ Macbook Pro Retina 13 ของปี 2013 ครับ ซึ่งก็เปลี่ยนมาได้ 2 เดือนกว่าๆแล้ว มีหลายๆคนอยากจะให้ผมเล่าความรู้สึกการใช้งานเจ้านี่หลายคนมาก ก็เลยเอามาปั่นเป็น Block เล่าซักตอนละกันครับ
ผมขอเรียก Blog ตอนนี้ว่า 5 ชอบ 5 ไม่ชอบ กับ New Macbook Pro ละกันนะครับ จะไม่ขอเล่ารายละเอียดทางเทคนิค เพราะว่ามีหลายสำนักรีวิวไปแล้ว และอีกอย่างเครื่องรุ่นของผมเป็น New Macbook Pro ตัวเริ่มต้นที่ “ไม่มี Touchbar นะครับ” ซึ่งที่เลือกรุ่นนี้ก็เพราะว่า ด้วยงาน Network ที่ทำอยู่ตอนนี้ ใช้เท่านี้ก็พอแล้ว และ Touchbar ไม่มีประโยชน์ต่องาน Network Config ที่ทำแต่อย่างใด
5 ชอบ กับ เครื่อง New Macbook Pro
น้ำหนักที่เบาอย่างเห็นได้ชัด
ผมเคยใช้ Macbook มาหลายเครื่อง ตั้งกะ Macbook Pro รุ่นเก่าปี 2008 / Macbook Air 11 ปี 2011 / Macbook Air 13 ปี 2012 และ Macbook Pro Retina 13 ปี 2013 ซึ่งเจ้า MBP 13 Retina นี่แหละ ที่ทำให้สายตาผมเสียด้วย Retina Display มันทำให้ผมย้อนกลับไปใช้ Macbook Air ไม่ได้เลยทีเดียว เรียกว่าสายตาเสียนิสัยเลยล่ะ แต่ก็ต้องแลกกันที่ MBP 13 มันหนักถึง 1.58 กิโล ไม่นับรวม Adapter อีกตัวนึงที่หนัก 635 กรัม รวมสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน ก็ซัดไป 2.2 โลแล้วครับ ไหนจะกระเป๋า และอุปกรณ์อื่นๆอีก ซึ่งผมเองก็แก่แล้ว แบกกระเป๋าโหดๆแบบเดิมไม่ไหวแล้ว นี่ขนาด ไม่โหดมาก กระเป๋า + อุปกรณ์ของผมก็รวมกัน 3 โลกว่าๆ จะสี่โลอยู่แล้วครับ
แต่พอย้ายมาใช้ New Macbook Pro 13 น้ำหนักเครื่องลดลง เหลือแค่ 1.37 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักของ Power Adapter ก็น่าจะเบาลงด้วย แต่ไม่รู้เท่าไหร่ รวมๆแล้วน้ำหนักน่าจะหายไปประมาณ 3 ขีดครับ เหมือนจะไม่เยอะ แต่ลองแบกทั้งวันนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ
สี Space Grey สวยมาก
ก็อย่างที่บอกไป Macbook Pro มันแทบไม่ออกดีไซน์ใหม่เลย ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา และตอนที่เครื่อง Macbook รุ่นปี 2015 เปิดตัว สี Space Grey ก็เป็นสีที่มีคนซื้อเยอะที่สุด ผมเองก็รอสีนี้มาโผล่ใน New Macbook Pro เหมือนกัน แหม่ และมันก็มาจริงๆซะด้วย โดยส่วนตัว ผมไม่ติดอะไรกับโลโก้ Apple ส่องแสงได้นะ คือเอาออกไปก็ได้ เปลือง Battery เปล่าๆ ขอให้ใช้งานได้นานๆดีกว่า เพราะตอนที่เราทำงานเราก็ไม่เห็นหลังเครื่องอยู่แล้ว นอกเหนือจากสีใหม่ อีกเรื่องก็คงเป็นความบาง ที่ไม่ใช่บางเหลวไหล แต่เป็นบางที่แน่นหนา ทนทาน สัมผัสที่จับเครื่องคุณจะรู้ได้เลยว่า เครื่องมันเฟิร์มจริงๆครับ
Butterfly Keyboard Generation 2 เอาเข้าจริงดีกว่าที่คิด
ตอนที่ผมไปสัมผัสเจ้า Macbook ใหม่ๆ นอกจากเรื่อง มีเรื่องให้ผมติสองเครื่องครับ นั่นคือ CPU ที่กากเกิ๊น กับ Butterfly Keyboard รุ่น 1 นี่แหละ สัมผัสแรกที่พิมพ์ลงไป คือ อะไรของเมิงวะเนี่ย จังหวะในการพิมพ์ผมเพี้ยนไปหมด แรงกดที่ใส่ลงไปแล้วให้มันเด้งต่อไปกระโดดจากปุ่มนึงไปอีกปุ่มนึงเพี้ยนไปหมด เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผมเกลียดเข้าขั้นเลยก็ว่าได้
พอ New Macbook Pro ออก ซึ่งผมก็เดาได้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมาแน่ ไอ้ Butterfly Keyboard เนี่ย แล้วก็ไม่ผิดคาดซึ่งผมก็คิดนะว่า ผมคงต้องใช้ Mac ต่อไปเรื่อยๆ และ ผมก็คงจะไม่มีทางหนีมันพ้น แทนที่เราจะหนีไปใช้ยี่ห้ออื่น ลองเปลี่ยนเป็นหัดใช้งานมันดู
และก็จริงครับ พอเข้าใจธรรมชาติของ Butterfly Keyboard แล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือ ปรับตัวนิดหน่อย ไม่ต้องส่งแรงเยอะ ปล่อยให้ไหลไป ให้ลอยลงสู่ทะเล ให้หายไป ให้มันอย่าคืนย้อนมา เด๋วๆ ไม่ใช่เพลง Y NOT 7
สรุปก็คือ Butterfly Keyboard ดีมาก แต่ต้องปรับ Mindset ในการใช้งาน ลดกำลังที่คุณใส่ลงกับการพิมพ์ลงซัก 50% แล้วจังหวะมันจะมาเองครับ ตอนนี้กลายเป็นว่าติดใจ Butterfly Keyboard แทนเลยล่ะ
Trackpad ใหม่ใหญ่และดีกว่าเดิมมาก
ถ้าถามคนใช้ Mac ว่า ชอบอะไรใน Macbook ทุกรุ่นมากที่สุด ผมว่าเกินครึ่งต้องตอบว่า “Trackpad” ครับ .. Trackpad ของ Mac ขึ้นชื่อเรื่องความเสถียร ความแม่นยำ ความลื่นไหล ความทนทาน เรียกได้ว่า ไม่มี Trackpad ใดๆในโลกหล้าสามารถทัดเทียมมันได้ ต่อให้เป็น Trackpad จากฝั่งพีซีโน๊ตบุ๊กตัวละสองแสนก็ตาม (Dell XPS13 ที่ว่าแน่ก็สู้ไม่ได้ครับ) และ Trackpad ใหม่ใน New Macbook Pro ก็ยังคงรักษาคุณภาพของความแม่นยำได้เช่นเดิม แถมเพิ่มความสามารถ Force Touch เข้ามาด้วย คือ นอกจาก แตะ กับ กด ลงไปได้แล้ว เรายัง “กดแบบทิ้งน้ำหนัก” ลงไปเพิ่มได้อีกหนึ่งหน้าที่ ซึ่งทำให้มันเพิ่มฟีเจอร์ในการควบคุมได้เยอะมาก ถ้าอยากรู้ว่ามันทำไรได้บ้าง ก็ไปดูที่ https://support.apple.com/en-us/HT204352 เลยครับ
เสียงลำโพงที่ดังลั่นบ้าน
ตอนผมใช้ Macbook Air เนี่ย เรื่องที่โคตรจะไม่ชอบเลยก็คือ เสียงลำโพงเบามากๆ เอาไปเปิดพรีเซนต์งาน หรือ ดูวีดีโอ อะไรง่ายๆ ไม่ไหวเลย เสียงเบาจนได้ยินแล้วรำคาญ แต่พอย้ายมาเป็น Macbook แล้วเสียงดังกว่ามากๆ พอมาเป็น Macbook Pro Retina เนี่ย ผมนึกว่า พอเครื่องบางลงแล้วเสียงจะเบากว่าเดิม แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ครับ แม่งดังกว่าสมัย Macbook Pro Retina ตัวเก่าซะอีก
ซึ่งอันนี้ อาจจะเป็นกับเครื่อง New Macbook Pro รุ่นที่ไม่มี Touchbar นะครับ เพราะถ้าดูจากวีดีโอการแงะเครื่องของ iFixit แล้วเนี่ย จะพบว่าลำโพงของ Macbook Pro with Touchbar มันอยู่ค่อนไปทางด้านล่างของเครื่อง
ซึ่งจะไม่ตรงกับตะแกรงที่ทำไว้ให้เสียงออก ผลก็คือ เสียงของ Macbook Pro with Touchbar อาจจะเบากว่าตัว Macbook Pro รุ่นที่ไม่มี Touchbar ก็เป็นได้ครับ
จบเรื่องที่ชอบ ไปสู่เรื่องที่ไม่ชอบกันบ้าง ก็แน่ล่ะ ถึงจะชอบเครื่องนี้ แต่มันเป็นเครื่องที่เป็นจุดผ่านไปสู่โลกยุคหน้าของ Apple เลย เรียกได้ว่า เหมือนจุดข้าม Red Line ไปสู่โลกใหม่ในวันพีซ การเปลี่ยนแปลงมันต้องมีเรื่องเฮงซวยให้บ่นบ้างแหละ และมันก็เป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยากสำหรับหลายๆคนหรอกครับ
5 ไม่ชอบ กับ เครื่อง New Macbook Pro
USB-C ล้วนๆ ชีวิตพังมาก
ตอนแรกก็คิดว่าเตรียมใจพร้อมแล้ว แค่คิดว่า ไม่เป็นไรมั้ง เพิ่ม USB-C Hub มาในชีวิตซักอันไม่น่าจะเดือดร้อน โอ้โห เดือดร้อนสัสๆเลยครับ พ่อแม่พี่น้อง เพราะผมต้องทำงาน Network ไปด้วย ก็ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ใหม่หมด ตั้งกะ
- หัวแปลง LAN เพราะต้องเอาไว้ใช้ Config อุปกรณ์ Network
- หัวแปลง USB-C -> VGA เพราะเอาไว้บรรยาย
- USB-C -> USB-A Hub เพราะต้องเอาไปเสียบกับอุปกรณ์พื้นฐาน
แค่ไอ้สามอย่างนี่ก็หลายพันแล้วครับ ไหนจะต้องแบกไปไหนมาไหนด้วย เพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก
แถม Macbook Pro รุ่นไม่มี Touchbar ที่ผมใช้ให้ USB-C มาแค่ 2 Port เคยเจอสถานการณ์แบบนี้คือ MBP แบทจะหมดก่อนขึ้นบรรยายเลยต้องเสียบชาร์จ + ต้องเสียบหัวแปลงจอ และเน็ตในงานใช้ไม่ได้ ต้องใช้ 4G อีก ก็ต้องต่อกับ iPhone ไปด้วย อัลไลแบบนี้ครับ ถึงปัญหาจะไม่ได้ใหญ่ แต่มันก็จุกจิกจนน่ารำคาญ
ถ้าเป็นไปได้ แกจะบุกเบิกโลก USB-C ก็ได้นะ แต่ช่วยให้มา 4 Port เหมือน Macbook Pro with touchbar หน่อยจะได้ไหมฟระ????
หัวชาร์จที่ไม่ใช่ MacSafe
ไม่นึกเลยว่าพอย้ายมาใช้เครื่องที่ไม่ใช่ MacSafe จะมีเหตุการณ์ให้เดินสะดุดสายตัวเองมากขนาดนี้ หัว MacSafe ก็คือ Power Adapter หัวแม่เหล็กที่เอาไว้ชาร์จไฟให้เครื่อง Mac ครับ มันดีตรงที่ เสียบง่าย และเวลาเดินสะดุดสายเครื่องจะไม่โดนลากลงมาบนพื้นด้วย เป็นนวัตกรรมระดับโลกที่เปรียบเสมือนตัวแทนด้านเทคโนโลยีของ Apple เลยนะ คือ โคตรชอบบบเลย แต่สุดท้าย พอ Apple จะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่ง USB-C ก็พินาศสิครัช ไม่อยากจะเชื่อว่า พอไม่มี MacSafe แล้วเราจะสะดุดสายได้มากขนาดนี้ ผมก็งงตัวเองเหมือนกันนะ สมัยก่อนไม่เห็นสะดุดเลย พอไม่มีปุ๊บ สะดุดปั๊บ ถึงจะยังไม่ถึงขั้นลากเครื่องลงมา แต่หัวเสียบ USB-C ก็เรื่มมีอาการหงิกๆงอๆ บ้างแล้ว เส้นนึงก็แพงโคตร นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องระวังมากๆในการใช้ Macbook Pro รุ่นใหม่เลยครับ
การ์ด WIFI ที่ทะแม่งๆ
อันนี้เป็นความรู้สึกของผมตอนแรกๆที่ใช้ก็คือ จะรู้สึกว่าการตอบสนองของสัญญาณ WIFI ในตัว New Macbook Pro มันทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้มีเวลาตรวจสอบละเอียดๆครับ เป็นแค่ความรู้สึกเฉยๆ จนกระทั่ง เจอแบบจังๆกับตัวตอนที่ไปติดตั้งระบบ Network ให้ลูกค้า คือตอนนั้น Setup ตัว Access Point เพื่อปล่อย WIFI ให้ลูกค้า โดยที่สัญญาณรบกวนก็ไม่มี ตัว AP ก็ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วระหว่างที่ Setup อยู่ก็ Ping IP ปลายทางเพื่อทดสอบไปด้วย ผลการ Ping ทดสอบเนี่ย เลข time ยิ่งน้อย จะยิ่งดีครับ เพราะอุปกรณ์ปลายทางตอบสนองเรากลับมาได้เร็ว
แต่พอผมเห็นเลข Ping บนเครื่อง Macbook Pro ของผม ผมร้องเฮ้ยยย อะไรฟระ ทำไมเลขเวลาตอบสนองโหดมากๆ ประมาณ 700-800 ms เลยทีเดียว ในขณะที่เครื่องลูกน้องผมที่เป็น Gaming Notebook ของ MSI ดันได้ผลที่ 1-2 ms เท่านั้น
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอาการนี้เป็นหมด ทุกเครื่อง หรือเป็นแค่เครื่องผมเครื่องเดียว เพราะหลังจากนั้นมา มันก็กลับมาเป็นปกติ ก็มีบ้างที่ออกอาการหลอนๆ ซึ่งมันกลายเป็นปัญหาตรงที่ว่า ผมจะไม่สามารถเชื่อมั่นอุปกรณ์ที่ผมใช้ทำงานได้ครับ ว่าตอนผม Setup อุปกรณ์รอบหน้าแล้วสัญญาณมันไม่ดี มันเป็นที่ Access Point หรือเป็นที่เครื่องผมวะ อะไรแบบนี้
แล้วที่สำคัญ พึ่งไปเช็คใน iFixit มา เห็นว่า การ์ด WIFI AC ของ Macbook Pro with Touchbar กับ รุ่นที่ไม่มี Touchbar เป็นคนละตัวกัน เห็นว่า ตัวมี Touchbar เป็นเสาอากาศแบบ 3T3R หรือสามเสาส่ง สามเสารับ ซึ่งจะได้ Bandwidth เยอะกว่าครับ ส่วนรุ่นที่ไม่มี Touchbar จะเป็นแค่ 2T2R หรือสองเสาส่ง สองเสารับ ซึ่งจะได้ Maximum Bandwidth จะน้อยกว่าครับ
ปุ่ม Cursor ที่ออกแบบมาให้กดปุ่มลูกศรผิดบ่อยโคตร
ถ้าเป็น Keyboard ของ Macbook รุ่นเก่าเนี่ย ปุ่ม Cursor ซ้าย ขวา จะมีขนาดเท่ากับ ปุ่ม บนล่าง เรียกว่าปุ่มเล็กก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยกดผิด แต่พอเค้าทำให้ปุ่ม Cursor ซ้าย-ขวา ใหญ่ขึ้น ผมดันกดผิดบ่อยมาก ไม่ได้กดซ้ายขวาผิดนะ แต่เป็นไอ้ปุ่มบนล่างนี่แหละที่กดผิดประจำ ส่วนใหญ่อาการที่โดนคือ แทนที่จะกดปุ่มขึ้น ก็ไปโดนปุ่ม Shift แทน ส่วนปุ่มลง ก็จะไปโดนปุ่มขึ้นแทน อยากจะบอกว่า ยังไม่ชินซักที เป็นปัญหามากๆ คนที่เขียนบทความอย่างผมอาจจะโดนไม่มากเท่าไหร่ แต่คนที่ทำงานด้าน Coding เช่นพวก Programmer น่าจะใช้ปุ่ม ขึ้นลงซ้ายขวา บ่อยโคตร น่าจะโดนปัญหานี้บ่อยกว่าผมอีกนะ
แพงสัส!!!
ราคาเริ่มต้นที่แพงสัสๆ ถึง 56,900 บาท แถมถ้าจะทำเครื่อง CTO หรือ Custom To Order เพื่อประกอบตาม Spec ที่เราต้องการ ก็ยิ่งแพงเข้าไปอีก โดยส่วนตัว ผมอยากจะได้เครื่องไม่มี Touchbar แล้วเพิ่มแรมเป็น 16GB ก็บวกไปอีก 8,000 บาท ถ้าอยากได้ SSD512 ก็บวกไปอีก 8,000 บาท แค่บวกสองอย่างนี่ก็ซัดราคาเครื่องไป 72,900 บาท เข้าไปแล้วนี่ยังมี Apple Care อีก 8,500 บาท อ้วกเป็นเลือด ถ้าเอารุ่น Touchbar ก็ซัดไปอีกสิ
ผมซื้อเครื่องนี้ของผมที่ AppleStore ประเทศญี่ปุ่นมา ซึ่งถูกกว่าบ้านเราเกือบหมื่นครับ ได้มาในราคา 49,xxx บาท ก็เอาแค่นั้นแหละครับ แรม 8GB กับ SSD256 ตัวพื้นฐาน เพราะถ้าสั่ง CTO ในญี่ปุ่นอาจจะไม่ทันวันกลับ เลยเอารุ่นนี้ก็พอ เลยทำให้กลั้นใจหิ้วกลับมาได้ครับ
และนี่ก็คือ 5 ชอบ / 5 ไม่ชอบ กับเครื่อง New Macbook Pro ที่ผมใช้มาประมาณสองเดือนกว่า หลายๆคนอาจจะอ่านรีวิวมาจนปรุแล้ว หรือ มีข้อมูลเยอะกว่าผมซะอีก ก็คิดซะว่าอ่านเพิ่มเติมเป็นทางเลือกละกันนะครับ
อนึ่ง : 5 ชอบ 5 ไม่ชอบ นั้น ผมได้ยินมาจากรายการ Changkhui ของ พี่ภาสกร หงษ์หยก ผู้ก่อตั้งรายการช่างคุย ซึ่งแกก็บอกว่า เอาไอเดียมาจากนิตยสาน สีสัน อีกทีนึงครับ
อสอง : ฝากแชร์ด้วยจ๊ะ