เขียน Blog ตอนนี้ขึ้นมาเพื่อบันทึกความรู้สึกเอาไว้ซักหน่อย ว่า ทำอีท่าไหน อยู่ดีๆ จากชอบวื่ง กลายมาเป็นหาเรื่องขี่จักรยานได้ แถมขี่ในเมืองอย่าง กรุงเทพ เมืองที่โคตรจะไม่เหมาะกับการขี่จักรยานด้วยประการทั้งปวง เพราะมีแต่เหตุผลน่าตายเต็มไปหมด ฮ่าๆ
เมื่อปีที่แล้ว หนุ่ยคือคนแรกในกองทัพพิธีกรแบไต๋ ที่เริ่มขี่จักรยานก่อน แล้วหนุ่ยก็ชวนให้ทุกคนมาขี่ด้วยกัน แต่ตอนนั้นผมยังรู้สึกเฉยๆกับจักรยาน แล้วก็ยังชอบวิ่งออกกำลังกายที่บ้าน แล้วก็ดูหนัง Series ไปมากกว่า จนกระทั่งพี่หลาม @sharkshows ตามไปขี่อีกคน ผมก็ยังไม่มี Passion สำหรับการขีจักรยานอยู่ดีนั่นแหละ เพราะว่ากำลังสนุกอยู่กับการเลี้ยงเมล่อน เจ้าหมาแสบของผม (อ่านเรื่องราวของเมล่อนได้ที่นี่ครับ)
จนกระทั่ง ผมส่งเจ้าเมล่อน เข้าโรงเรียนประจำฝึกหมา ซึ่งจะต้องใช้เวลา 2 เดือนเต็มๆ ระหว่างนี้ก็ว่าง ไม่รู้จะทำอะไรดี จนกระทั่งไปเจอหนังสือเล่มนึงของคุณภูภู่ชื่อว่า SPIN!
โดยส่วนตัวก็รู้จักกับ คุณภูภู่อยู่แล้ว เพราะทำ รายการ BAKATOON ด้วยกัน หนังสือเล่มนี้ของคุณภูภู่ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการปั่นจักรยานในเมืองกรุงเทพที่แกไปพบประสบมา ว่าโดนอะไรเล่นงานมาบ้าง รวมไปถึง Climax ช่วงเกือบๆท้ายเล่ม ที่ทำเอาคุณภูภู่เกือบจะเลิกขี่จักรยาน แต่ก็ตัดสินใจกลับมาขี่อีกครั้งนึง
พอผมอ่านจบเล่มปั๊บ Passion ในใจมันมาทันที หลังจากนั้นก็โทรหาภูภู่ บอกว่า พาไปซื้อจักรยานหน่อย!! ซึ่งเป็นการซื้อจักรยานที่วู่วามสุดๆไปเลยล่ะครับ
ในหนังสือของภูภู่จะกล่าวถึงร้านจักรยานมือสองที่สามย่านเอาไว้ ชื่อร้าน สมบัติ คานามูจิ ตอนที่ไปเจอจักรยานที่ร้านนี้ครั้งแรกก็รู้สึกตกใจมาก จักรยานเยอะชิปเป๋ง แถมมีจักรยานแปลกๆเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นจักรยานมือสองแบบเหมาตู้จากญี่ปุ่น สภาพก็มีทั้งดี และ เยินในเวลาเดียวกัน โดยที่ช่างของร้านก็จะทำหน้าที่เปลี่ยนอะไหล่ ซ่อมนี่ ดัดโน่น ให้มันเข้าที่ เข้าทาง
ผมไปถึงที่ร้านประมาณบ่ายๆ ใช้เวลาเลือกจักรยานอยู่นานมาก เพราะการเลือกของมือสองเนี่ย นอกจากต้องหาของสภาพดีๆแล้ว ยังต้องหาคันที่มันถูกชะตาอีกด้วย ซึ่งมันเข้มงวดยิ่งกว่าถูกใจอีกนะเนี่ย ซึ่งกองสมบัติของเฮีย ก็เป็นกองสมบัติที่ผสมปนเปกันชนิดเห็นแล้วชวยงงสำหรับมือใหม่มาก
ก็เลยบอกเฮียไปว่า ผมมี Requirement ดังต่อไปนี้ครับ
- ไม่เอาเสือหมอบ เพราะลองขับแล้ว ไม่ไหวติดพุง
- ขอสีเรียบๆ ไม่เอาสีดำ เพราะเคยขับรถสีดำแล้วไม่ถูกโฉลก
- งบประมาณคันละ 5,000 บาท ล้นๆได้ ถ้าเจอรถที่ถูกใจ
ซึ่งเฮียฟัง Requirement แล้วก็รู้สึกเลยว่า “เอ็งนี่เรื่องมากชิปหาย” แล้วก็พาไปดูรถในโซนที่ราคาใกล้เคียงกับที่ผมอยากได้ครับ ซึ่งก็มีเป็นสิบๆคันเลยล่ะ แถมยังพาขึ้นไปดู ชั้น 2 และ ชั้น 3 ซึ่งเป็นคลังรถที่ยังไม่ได้ประกอบอีกด้วย เผื่อจะเจอเฟรมที่ถูกใจ
หลังจากผ่านการลอง โดดขึ้นๆลงๆ รถ ประมาณ 20 กว่าคันได้ ซึ่งเฮียแกก็ใจดีนะ ให้เราขับลองไปลองมาจนกว่าจะพอใจ ผมถูกใจอยู่ 2 คันด้วยกันคือ City Bike สีครึม ยี่ห้อ KVICT เพราะรถเบา ขับง่ายดี แฮนด์ตรง แต่ว่า Shifter ดันอยู่บนท่อ พอขี่ๆแล้วพบว่าต้องละมือจากแฮนด์มาเปลี่ยนบนถ่อแล้วชวนรถคว่ำมาก เลยรู้สึกขัดใจนิดหน่อย
และอีกคันก็คือเจ้า Touring สีเงิน Anchor CX500 คันนี้แหละครับ รูปร่างดุดัน ทำความเร็วได้ค่อนข้างดี แล้วก็ชอบที่เกียร์มือด้วย แต่ราคาคันนี้ทะลุงบไปเยอะมาก ฮ่าๆ
หลังจากที่เลือกกันจนเกือบ 5 โมงเย็น และต่อราคากันสุดฤทธิ์ ซึ่งเฮียก็ตั้งรับอย่างเหนียวแน่น ผมก็ไม่สามารถทำอะไรเฮียได้ เลยขอเฮียเปลี่ยนอะไหล่มาหลายชิ้นอยู่เหมือนกัน ซึ่งอะไหล่ที่เฮียให้มา ก็มีเบาะสุดเทพที่ผมใช้ปั่นนุ่มสบายตรูดอย่างมากมาด้วย และแล้วผมก็กลับบ้านพร้อมเจ้า Anchor CX500 กับ จักรยานพับสีแดงของ @joyz ที่สภาพแจ๋วไม่แพ้กัน
โดยที่อะไหล่ที่ผมขอให้เฮียเปลี่ยนก็มี โซ่จักรยานที่มันหย่อนๆ , บันไดเหยียบที่ให้ทาสีให้ใหม่ , แล้วก็ Maintenance จุดหมุนต่างๆเช่นเกียร์ หรือ เบรคครับ
ถ่ายรูปกับเฮีย สอ เป็นที่ระลึกซักหน่อย จะเห็นว่าเฮียและผมหน้าเหนื่อยมาก คนนึงก็ปั่นลองรถจนเหนื่อย อีกคนก็เหนื่อยจัดรถมาให้ปั่น สุดท้ายจ่ายเงินไป หมื่นกว่าบาทกับรถ 2 คัน ซึ่งผมอยากจะบอกว่า มันไม่จบแค่นี้นะครับ วงการจักรยานมันกำลังจะเริ่ม “รับน้อง” ผม เร็วๆนี้แหละ ว่าการขับรถในเมืองและการดูแลรถมือสองมันวุ่นกว่าที่คิดเลยทีเดียว
11 comments