อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในบ้านเราเป็นอันดับหนึ่ง สังเกตจากร้านเนื้อย่าง ชาบู ซูชิ มากมายที่เติบโตอย่างมหาศาลจนผัดกระเพราหากินแทบไม่ต้องจนต้องเอาถั่วฟักยาวมาใส่แทน (เอ๊ะ เกี่ยวไหม) แต่อาหารญี่ปุ่นพวกนั้น ก็ไม่ใช่อาหารในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นเขานะครับ ดังนั้น ถ้าเราจะหาอาหารญี่ปุ่น ที่เป็นอาหารประจำบ้านกินกันในบ้านเหมือน คนไทยกินกระเพระไก่ไข่ดาว ก็ลองไปโอโตยะเลยครับ
คำว่า โอโตยะ แปลว่าประตูใหญ่ โดยที่ สาขาประเทศไทยเปิดตั้งแต่ปี 2547 นี่ก็เกือบๆ สิบปีเข้าไปแล้ว โดยสาขาแรกที่ผมไปกินคือ Big C ทองหล่อครับ ครั้งแรกที่เห็นร้าน ผมยังจำความรู้สึกแรกได้เลย คือ พอเห็นเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเลยนึกว่ามีซูชิ ปรากฏว่า ไม่มี ฮ่าๆ ตอนนี้ยังจำเมนูแรกที่สั่งได้เลย คือ โซบะเย็นในกล่องไม้ ทานคู่กับข้าวหน้าไก่ซูมิโทริ
จำได้ว่า โซบะกลิ่นหอม ไม่เหมือนกับที่เคยทานมาก่อน และน้ำซุปโคตรอร่อย ส่วนข้าวหน้าไก่ก็หอมกลิ่นย่างมากๆ หลังจากนั้นก็เป็นร้านประจำในการแวะไปกิน ตอนที่เอียน เนื้อย่าง ชาบู จากสารพัดงานเลี้ยงครับ
สาขาที่ผมชอบไปที่สุดคือ สาขาทองหล่อ ตรง J-Avenue เพราะสาขานั้นจะเป็นครัวเปิด ถ้าเรานั่งที่ Counter ก็จะสามารถเห็นว่า พ่อครัวทำอาหารกันยังไง พอเห็นพ่อครัวทำเมนูที่เราสั่งก็จะรู้สึกลุ้นไปด้วย เหมือนอาหารมันจะอร่อยขึ้นครับ และประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมเลือกไปทานโอโตยะเวลาเดินงงๆ ไม่รู้จะกินอะไรดี ก็คือ ถ้าสั่งอาหารเซ็ต จะได้เติมข้าวฟรีครับ ไอ้นี่แหละ คือสุดยอดโปรโมชั่น ที่ผมแวะมาทานร้านนี้เวลาอยากจะกินข้าวญี่ปุ่นให้หนำใจ
เมนูโปรดของผมในช่วงหลายปีหลังๆ มีอยู่ 3-4 เมนูด้วยกันครับ อันแรกก็คือ เซ็ตปลาชิมาฮอกเกะย่างถ่าน
ปลาชิมะฮอกเกะ จากทะเลแบริ่ง ในเซ็ตนี้จะมี ปลาชิมะฮอกเกะมาครึ่งตัว ทานคู่กับเครื่องเคียงเป็น ไชเท้าขูด และข้าวสวย และซุปมิโสะ เวลากินก็ต้องเลาะก้างออกก่อนแล้วค่อยลิ้มรสปลาชิมะฮอกเกะที่เค็มๆนิดหน่อย แต่โซ้ยกับข้าวสวยญี่ปุ่นแล้วอย่างฟิน ซึ่งมีหลายคนชอบสงสัยกันบ่อยๆเวลาทานเซ็ตปลาชิมะฮอกเกะ คือ สั่งมาตั้งหลายครั้ง ทำไมถึงได้ ปลาซีกที่มันมีก้างทุกครั้งเลย แล้วไอ้ซักที่มันไม่มีก้างไปอยู่ไหนเนี่ย ??? เคยสงสัยไหมครับ
ผมก็เคยสงสัยครับ เลยถามพนักงานดู เค้าบอกว่า เครื่องหั่นปลาเนี่ย มันหั่นปลาได้เป๊ะมาก ซึ่งมันก็เลยแบ่งครึ่งก้างออกเป็น 2 ซีกให้เราไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องสงสัยนะครับว่า ไอ้ซีกที่มันไม่มีก้างมันหายไปไหน มันมีก้างทั้ง 2 ซีกแหละครับ
นอกจากนั้นเวลาที่สั่งอาหารเซ็ตของโอโตยะ เราจะสามารถสั่งเครื่องเคียงมาคลุกกับข้าวเพิ่มได้ ซึ่งของโปรดของผมก็คือ สาหร่ายฮิจิกิต้มซีอิ๊วครับ เป็นเครื่องเคียง ผมเห็นว่าบ้านเราไม่ค่อยสั่งกัน เพราะอาจจะดูไม่คุ้มหรืออาจจะไม่ชินกับรสชาติ แต่อยากจะบอกเลยครับว่า ถ้าอยากทานข้าวสวยญี่ปุ่นของโอโตยะให้อร่อยขึ้น ลองสั่งมาดูซักชามแล้วคลุกให้เข้ากัน คุณอาจจะขอเบิ้ลข้าวได้มากกว่าเดิมก็เป็นได้
ในเซ็ตปลาชิมะฮอกเกะ จะมีไชเท้าขูด ให้เราทานด้วยกันกับปลา เพื่อตัดเลี่ยน ซึ่ง ถ้าคนที่ทานไม่เป็น (อย่างผมในตอนแรกๆ) ก็จะเอาไชเท้าขูดกินกับปลาตรงๆเลย แล้วจะพบว่า “มันอร่อยตรงไหนฟระ????” แต่เมื่อเร็วๆมานี้ พึ่งจะมีคนสอนผมถึงการกินไชเท้าขูดกับปลาชิมะฮอกเกะครับ พอรู้วิธ๊กินแล้ว อยากจะกลับไปขอโทษไชเท้าขูดทุกชามที่เคยทิ้งไปเลยล่ะ T_T
วิธีกินก็คือ ให้คุณเอาโชยุ หรือ ซีอิ๊วญี่ปุ่น เหยาะลงไปในไชเท้าขูดซักนิดหน่อยครับ รสฝาดของไชเท้า กับ รสเต็มของโชยุจะผสมกันพอดี และเมื่อมีปลาและข้าวมารวมกัน มันคือ คอมบิเนชั่นของความอร่อยระดับน้ำตาไหลเลยครับ
ไชเท้าขูดของโอโตยะ เป็นไชเท้าขูดสดๆ ที่จะขูดเมื่อมีออเดอร์จากลูกค้าเท่านั้น สาเหตุก็เพราะว่า เมื่อขูดไชเท้าใหม่ๆ มันจะมีวิตามินซีหลงเหลืออยู่ประมาณ 30 นาทีครับ ถ้าขูดทิ้งเอาไว้ ก็จะไม่หลงเหลือสารอาหารอยู่เลยนั่นเอง เป็นแค่กากไฟเบอร์เท่านั้น โอ ลึกซึ้ง
และอีกหนึ่งอย่างที่รสเด็ดมากๆ ของโอโตยะ ก็คือ ไข่ตุ๋นครับ แต่ไข่ตุ๋นของที่นี่ จะมีการเหยาะซอสหวาน ลงไปที่ผิวหน้าด้วย ดังนั้นจะไม่ได้มีแค่รสของไข่หวานปรุงรสอย่างเดียว ซึ่งสูตรเด็ดของการกินไข่หวานที่ผมทำประจำก็คือ
เหยาะโชยุ ไปซักนิด ตามด้วย วาซาบิอีกนิดหน่อยครับ (ต้องบอกว่านิดหน่อยจริงๆ เอาแค่ให้พอมีกลิ่นวาซาบินะครับ) ไข่ตุ๋นรสหวาน จะตัดกับ โชยุเค็มๆ และมีกลิ่นหอมๆของวาซาบิลอยมาด้วย พอเข้าปากก็จะมีการสะดุ้งด้วยวาซาบิเล็กน้อยพอซาบซ่า โอย พิมพ์ไปน้ำลายไหลไป
เมนูโปรดอย่างที่ 2 ของผมก็คือ คาซัง หรือ ไก่ทอดในน้ำซุปหัวหอมครับ … เมนูนี้มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปหัวหอม .. ซึ่งถ้าใครเป็นคนที่ทำอาหารบ่อยๆจะรู้ดีกว่า น้ำซุปที่เกิดจากการเคี่ยวหัวหอมจนเปื่อยเนี่ย เป็นน้ำซุปที่รสหวานอร่อยมาก รวดไปบนไก่ทอด ตอกไข่ดิบไปอีก 1 ฟอง แล้วโรยไชเท้าขูด รสชาติที่ได้ก็คือ ความหวานของไก่ที่เกิดจาก การผสมกันของสารพัดไอเท็มที่ทำให้เกิดความหวาน
ซัดของคาวเสร็จก็ต้องปิดท้ายด้วยของหวานสินะ ผมจะมีของหวานปิดท้ายอยู่ 2 อย่าง ขึ้นกับว่า อยากกินปิดแบบนุ่มๆ หรือ อยากกินปิดแบบหวานกระแทกลิ้น ซึ่งถ้าเอาแบบนุ่มๆก็ต้องสั่ง ไอศครีมชาเขียวในน้ำเต้าหู้
ไอศครีมกับวุ้นชาเขียวที่หวานๆ จะโดนน้ำเต้าหู้ทำให้รสชาตินุ่มลง และโมจิเหนียวๆอีก 2 ชิ้นก็ทำให้ฟินกับรสสัมผัสของการเคี้ยวกำลังดี
ในกรณีที่อยากจะกินปิดแบบหวานๆ ผมก็จะสั่ง วาราบิโมจิแทน ซึ่งเจ้าวาราบิโมจิ จะเป็นโมจิที่ทำจากแป้งท้าว เอามาคลุกกับผงคินาโกะ (ผงถั่วเหลือง) ราดด้วยซอสหวานแล้วทานคู่กับไอศครีมวนิลาและถั่วแดงบด จะเห็นว่า ของหวานจานนี้ ไม่ต้องตัดรสอะไรให้มากความ ซัดหวานกันให้เต็มเหนี่ยวเพื่อให้ปิดเกมอาหารมื้อนี้ให้ฟินที่สุดนั่นเองครับ
แถมด้วย ใครใช้ Truemove-H เวลาทานครบ 600 บาท ก็จะได้พุดดิ้งน้ำเต้าหู้ฟรีหนึ่งที่นะครับ
และเมื่อเร็วๆนี้ผมได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของทางโอโตยะ เห็นบอกว่า จะมีการนำไอเท็มในตำนานอย่างหนึ่งมาเป็นเครื่องปรุงในร้าน นั่นก็คือ ผงโรยข้าว นั่นเอง โอววว มายยย ก็อดดดดด ถ้าใครได้กินผงโรยข้าวที่โรยลงไปบนข้าวญี่ปุ่น ก็น่าจะรับรู้ได้ถึงความเจ๋งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนีั้นะครับ เพราะมันจะทำให้มื้ออาหารในโอโตยะของคุณ อร่อยเด็ดขึ้นมาอีกหลายเท่าเลยทีเดียว ซึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะมีการนำเข้ามา แต่เชื่อได้เลยว่า ถ้ามีไอ้ผงโรยข้าวนี่เมื่อไหร่ ผมจะไปโซ้ยให้หนำใจเลยครับ
One comment