ความละเอียดหน้าจอแบบ Full HD เข้ามาเป็นสินค้าประจำตั้งแต่ 6 ปีก่อนแล้ว สมัยก่อนนู้นนน ผมซื้อจอ 24 นิ้วแบบ Full HD มาใช้ยี่ห้อ Harry Potter (HP) ราคาซัดไปเกือบ 25,000 บาท แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีก็ขยับเข้ามาหาผู้คนในราคาที่ถูกขึ้น อย่างโทรศัพท์มือถือตอนนี้ทำหน้าจอแบบ Full HD (1,920 x 1,080) ในราคาหมื่นนิดๆกันแล้ว วงการ PC ก็ต้องขยับขยายไปสู่ความละเอียดที่สูงขึ้นในระดับ Ultrawide Full HD (2,560 x 1,080) ครับ
ที่จอภาพจำเป็นจะต้องมีความละเอียดมากขึ้นก็เพราะว่าองค์ประกอบของสิ่งต่างๆในหน้าจอ เริ่มที่จะมีความละเอียดมากขึ้นเพื่อให้ ไอคอนและหลายๆอย่างบนหน้าจอมีความคมชัดแบบสุดๆ การทำงานจะได้สบายตามากขึ้น และ พื้นที่ในการทำงานจะได้มีมากขึ้น
LG เลยเปิดไลน์ของจอภาพ Desktop ขึ้นมาใหม่อีกไลน์นึง เป็นจอแบบ IPS Ultrawide Full HD โดยเฉพาะ โดยที่ไลน์ใหม่นี้จะมีจอ Ultrawide ขนาดตั้งแต่ 25 , 29 และ 34 นิ้วตามลำดับ โดยตัวที่ผมได้รับมารีวิวก็คือ LG 34UM-65 รุ่นใหญ่สุดขนาด 34 นิ้วเลยครับ ตอนที่ได้รับมารีวิว ดีใจมาก วิ่งขึ้นห้องด้วยความร่าเริงสุดๆ เพราะอยากได้จอ Ultrawide ใหญ่ขนาดนี้มานาน
จอภาพตัวปัจจุบันที่ผมใช้งานอยู่ก็เป็น Ultrawide Monitor เหมือนกันแต่เป็นขนาด 29 นิ้ว ในแง่การทำงานเรียกได้ว่าเพียงพอเหลือเฟือ แต่ในแง่การดูหนังเนี่ย ใครใหญ่กว่า คนนั้นก็ชนะครับ ฮ่า
มาดูหน้าตากันหน่อยดีกว่า…
แกะกล่องออกมาก็ประกอบกันเหนื่อยหน่อย เพราะจอเบ้อเร่อเลยครับ วิธีการประกอบไม่ค่อยอยาก แต่คุณควรจะไปประกอบบนเตียง (อย่าคิดลึก มันมีสาเหตุครับ)
เพราะว่าฐานจอมันจะต้องจับยึดด้วยน็อตกับขาตั้งแบบนี้ ถ้าไม่มีคนช่วยจับ ผมก็แนะนำไปให้ประกอบบนที่นุ่มๆ แบบวางนอนลงไปเลย ไม่งั้นอาจจะมีจอภาพเสียหายได้ครับ การประกอบเข้ากับฐานสามารถเลือกจุดยึดได้ 2 จุดด้วยกัน คือโซนบนกับโซนล่าง ชอบระยะไหนก็เลือกเอาเลยครับ
ตัวขาตั้งสามารถปรับเอน หน้า-หลัง ได้ในระยะ 5 – 20 องศาครับ อาจจะไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่
เมื่อประกอบเสร็จแล้วก็จะเห็น LG 34UM65 แบบหน้าตาดีแบบนี้แหละครับ
Spec ของ LG 34UM65 มีดังต่อไปนี้ครับ
- ขนาดหน้าจอ 34 นิ้ว เมื่อวัดจากขอบซ้ายบน ไปยัง ขวาล่าง
- ความละเอียดหน้าจอสูงสุดคือ 2,560 x 1,080 pixel
- สัดส่วนหน้าจอ : 21:9 (สัดส่วนเดียวกับหนังที่ฉายในโรงภาพยนตร์ไฮโซทั้งหลาย จอภาพทั่วๆไป จะมีสัดส่วนที่ 16:9 หรือ 16:10 แล้วแต่รุ่นและการนำไปใช้งาน)
- Color Gamut คือขอบเขตสีที่สามารถแสดงผลได้ อยู่ที่ sRGB 100% เต็ม
- ค่าความสว่าง : 300 cd/m2 (จอภาพรุ่นธรรมดาจะอยู่ที่ 150 – 200 ครับ)
- ค่า Contrast Ratio : 1,000 : 1 ครับ
- Response Time : อัตราการตอบสนองอยู่ที่ 14ms
- ขอบเขตการมองเห็นที่กว้างที่สุดอยู่ที่ : 178 องศาครับ มองจากขอบด้านข้างยังเห็นสีคมชัด
Port สำหรับต่อเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆมีดังต่อไปนี้
- HDMI x 2
- DVI-D x 1
- Display Port x 1
- Audio in แบบ 3.5 มม x 1
- ช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม x 1
มี Port พื้นฐานมาให้ครบ และมี HDMI มาให้ถึง 2 Port … และหลายคนอาจจะสงสัย ว่า อ้าว ไม่มี Port แบบ VGA มาให้เรอะ!!
ใช่ครับ มันไม่จำเป็นต้องมีครับ เพราะ Port VGA รองรับความละเอียดสูงสุดได้แค่ 1,920 x 1,080 เท่านั้นครับ มีให้มาก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
วิธีการควบคุมหน้าจอ LG 34UM65 ตัวนี้อยู่ด้านล่างตรงกลางครับ รูปแบบการควบคุมจะเป็น Joystick ที่เราสามารถกด บน ล่าง ซ้าย ขวา เพื่อเลือกตามเมนูได้ แล้วกดลงไป เพื่อตกลง อันนี้ผมชอบนะ เพราะจอหลายๆตัวมีวิธีการควบคุมเมนูที่น่าปวดหัว กดผิด กดถูกไปหมด เท่าที่ลองกดควบคุมถือว่าทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าระบบเก่าเยอะมาก
เมนูสำหรับการควบคุมมีอยู่ 5 ส่วนหลักๆด้วยกันครับ
- Easy Control ไว้ปรับ ค่า สี . แสง , input , ratio แบบง่ายๆ ได้ครับ
- Function ไว้ปรับค่า Super Energy Saving โดยที่ถ้าเปิดแบบ High ไว้ล่ะก็ จะสามารถประหยัดไฟได้มากถึง 25% โดยที่ตัวจอจะทำการหรี่ไฟลงในกรณีที่ไม่มีการใช้งานหน้าจอเอาไว้ครับ
- PBP หรือระบบ Picture by Picture แสดงผล 2 อุปกรณ์พร้อมๆกันในจอเดียว โดยแบ่งเป็นซ้ายกับขวา
- Screen คือ การปรับค่า Gamma , ค่าสีโดยแยกปรับแบบ แดง เขียว เหลืองได้โดยละเอียด
- Setting เป็นการเรื่องเสียง กับพวก On Screen Display ครับ
ถึงแม้ว่าจอจะใหญ่ แต่ขอบในการแสดงผลถือว่าบางมาก ระยะจากหน้าจอถึงขอบจากอยู่ที่ประมาณ 1 ซม. เท่านั้นเองครับ
ขอบช่างเรียกได้ว่าเกือบชิดหน้าจอเลยทีเดียว
และข้อดีของการที่มีจอแบบ Ultrawide Full HD ก็คือ หนังเทพๆที่เรามีจะแสดงแสนยานุภาพได้สุดติ่งมากยิ่งขึ้น อย่างที่ผมเปิดนี่ก็คือ สุดยอดสารคดีที่มีภาพโคตรสวยอย่าง Samsara!!
ค่าของสีและการแสดงผล นุ่มนวลสบายตามากสำหรับการดูหนัง เรียกได้ว่า ไม่ผิดหวังเลยจริงๆครับ
และอันนี้คือการเปิดทดสอบให้ดูว่า ถ้าไฟล์ที่เราได้มาแบบ 1,920 x 1,080 มันจะเป็นยังไง ก็จะเหลือขอบดำปื้ดแบบให้เห็นนี่แหละครับ
ในแง่การทำงาน ถ้าจะให้เห็นแสนยานุภาพแบบสุดๆ ก็คงต้องเปิด Excel แหละครับ ผมสามารถเห็น Cell ได้กว้างถึงแถว AI เลยครับ
อันนี้คือ Excel แบบ 1,024 768 ที่เราใช้กันเมื่อ 10 กว่าปีก่อนครับ ฮ่า ต่างกัน 3 เท่าได้มั้งครับเนี่ย
ไหนๆก็มีจอใหญ่ที่มีความละเอียดขนาดนี้แล้ว LG ก็เลยให้โปรแกรมตัวนึงมาด้วยชื่อว่า Screen Split ครับ เราสามารถกำหนดได้ว่า เราจะให้หน้าต่างโปรแกรมแต่ละตัวมัน วางเรียงกันแบบไหน เพื่อความสะดวกในการทำงานเฉพาะทางมากขึ้น โดยสูงสุด คือ 4 Screen ครับ
เมื่อวาง 4 หน้าจอ ครับ ทั้ง Excel , Picasa , File Explorer , Google Chrome ซึ่งถ้าคุณเป็น Network Admin ที่วางระบบอาจจะเปิดหน้าจอ Network Monitor ไว้ก็ได้ หรือถ้าทำงานด้านหุ้นล่ะก็ หน้าจอแบบนี้คงดู กราฟกันได้โคตรมันส์
ระบบ PBP หรือ Picture by Picture ที่ให้เราสามารถแสดงผลอุปกรณ์ 2 อย่างได้พร้อมๆกันครับ อย่างในการทดสอบผมเปิด PC พร้อมๆกับ PS3 โดยที่สามารถเล่นคู่กันได้เลยครับ แต่ resolution ยังเพี้ยนๆอยู่ อาจจะต้องปรับกันหน่อย
โดยทั่วไปการใช้งานที่ผมว่าเข้าท่าที่สุดก็คือ แยกซ้าย – ขวา แบบในรูปนี่แหละครับ เปิด Pantip.com ไว้ขวา และเปิด Facebook.com ไว้ซ้าย เพื่อการติดตามดราม่าอย่างต่อเนื่อง (จะบ้าเรอะ!!)
LG 34UM65 จะมี Reader Mode มาด้วย โดยที่จะปรับหน้าจอให้มืดลง เพื่อให้เราอ่านเอกสารได้อย่างสบายตามากขึ้น เหมาะกับการนั่งอ่านการ์ตูนมาก คือด้วยขนาดหน้าจอก็ใหญ่บะลั่กกั๊กขนาดนี้แล้ว เปิด Full Screen ที อ่านได้ 4 หน้าพร้อมกันเลยครับ แปบเดียวจบเล่ม ฮ่าๆ
หลังจากที่ทดลองใช้งานมาประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ขอสรุปความรู้สึกกับการใช้งาน LG 34UM65 ดังต่อไปนี้นะครับ
- จอภาพใหญ่ ความละเอียดเยอะกว่าตัว 29 นิ้วที่ผมใช้งานอยู่มาก กลายเป็นว่า ทำงานสบายมากกว่าเดิม การเปิดไฟล์หนังสะใจกว่าเดิม ไฟล์เอกสารถึงจะได้พื้นที่เท่าเดิม แต่ตัวหนังสือใหญ่ขึ้นมองได้สบายตามากขึ้น
- Port ที่ให้มาครบเครื่อง สามารถรองรับอุปกรณ์ที่สามารถแสดงผลใหญ่กว่า Full HD ได้ครบทั้งหมด เห็นว่าที่เมืองนอก มี Model สำหรับเครื่อง Mac ที่รองรับ Ligtning Port โดยเฉพาะด้วยครับ
- เมนูควบคุมผ่าน Joystick ได้ง่าย แต่เอาเข้าจริง ชีวิตเราก็ไม่ได้ปรับอะไรกันมากขนาดนั้นหรอกครับ
- จอมีลำโพงติดตั้งมาด้วย สามารถดึงเสียงจาก HDMI มาปล่อยได้เลย หรือจะใช้สาย Line-in ก็ได้ แค่คุณภาพเสียงงั้นๆ มากครับ เป็นเสียง Stereo ก็จริง แต่หาลำโพงแท้ๆมาเล่นเลย จะดีกว่า
- ไม่มี USB Hub แนบมากับจอด้วย ซึ่งในราคาที่ค่อนข้างสูงระดับนี้ น่าจะมี USB Hub ให้มาด้วย ทำให้เพิ่มความสามารถของจอให้มากขึ้น
- Response time 14ms สามารถใช้ดูหนังได้เนียนสบายตา แต่กับการเล่นเกมระดับ Hardcore มากๆ อย่างพวก FPS อาจจะต้องใช้จอที่มี response time มากกว่านี้ เพราะผมทดลองเล่นกับ Diablo 3 หรือเกมแบบ RTS จะไม่มีปัญหาอะไรเลย นุ่มสุดๆ แต่กับ Call of Duty ที่ต้องยิงกันเยอะๆ จะเกิดอาการภาพติดตาได้ครับ
- ตัวจอปรับได้แค่ เงย หน้า-หลัง ด้วยระยะ 5 – 20 องศาเท่านั้น น่าจะทำให้ปรับ ขึ้น-ลง ได้ด้วย และไม่สามารถหมุนจอ เป็นลักษณะ 90 องศาได้ (อันนี้โปรแกรมเมอร์คงเสียใจน่าดู เพราะถ้าทำได้ โปรแกรมเมอร์ทั้งหลายคงชอบน่าดู เขียน Code กันได้สะใจ)
- สำหรับราคาค่าตัว ผมเช็คจาก Priceza.com ได้ราคามาแถวๆ 21,xxx บาทครับ ก็เรียกได้ว่าโคตรคุ้มค่าเลย ซึ่งหลายคนบอกว่า ราคาขนาดนี้ ทำไมไม่ไปซื้อ 2 จอ มาต่อกันล่ะ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ที่เราใช้ 2 จอต่อกัน ก็เพราะว่ามันไม่มีจอใหญ่ๆ ขายให้เราไม่ใช่เรอะ เราถึงต้องเอาจอมาต่อกัน แถมการเอาจอมาต่อกัน เวลาเราดูหนัง ก็ติดขอบตรงกลาง ซึ่งถ้าไม่อยากเห็นขอบ จอก็หดเหลือนิดเดียว แล้วจะใช้ 2 จอทำไมล่ะเนี่ย